วิธีเช็คสิทธิจ่ายตรง เบิกค่ารักษาพยาบาล

ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี ประชาชนหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิสวัสดิการที่สามารถ “จ่ายตรง” แทนการออกเงินก่อนแล้วมาเบิกทีหลัง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างประกันสังคม หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) การเช็คสิทธิให้ชัดเจนก่อนเข้ารักษา จึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าที่เคย

ยาวไป เลือกอ่าน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “ระบบจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล” วิธีตรวจสอบสิทธิของตนเองในปี 2568 ครบทุกช่องทาง พร้อมตอบคำถามที่หลายคนสงสัย ไม่ว่าจะรักษาโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ใช้สิทธิได้แค่ไหน และต้องเตรียมอะไรบ้างก่อนเข้ารักษา


1. “จ่ายตรง” คืออะไร? ต่างจาก “สำรองจ่าย” อย่างไร?

ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการเช็คสิทธิ เราต้องเข้าใจระบบก่อนว่า…

“จ่ายตรง” หมายถึง การที่โรงพยาบาลสามารถเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลโดยตรงกับต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่คุณมีสิทธิ เช่น กรมบัญชีกลาง, ประกันสังคม, หรือ สปสช. โดยที่คุณ ไม่ต้องออกเงินเองก่อน

ส่วน “สำรองจ่าย” คือ คุณต้องจ่ายค่ารักษาไปก่อน แล้วนำใบเสร็จ ใบรับรองแพทย์ และเอกสารอื่น ๆ ไปยื่นเบิกย้อนหลังภายหลัง

ระบบจ่ายตรงช่วยลดภาระทางการเงินทันที โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือเมื่อต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน


2. ใครมีสิทธิจ่ายตรงบ้าง?

2.1 ข้าราชการและครอบครัว

สามารถใช้ระบบจ่ายตรงค่ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐที่เข้าร่วมระบบของกรมบัญชีกลาง ทั้งแบบผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD)

2.2 พนักงานรัฐวิสาหกิจ

ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต้นสังกัด เช่น การไฟฟ้า การรถไฟ การประปา ฯลฯ แต่หลายแห่งมีระบบจ่ายตรงกับโรงพยาบาลที่ทำสัญญาไว้

2.3 ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม

เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เลือกไว้ตามสิทธิ (โรงพยาบาลหลัก) สามารถใช้สิทธิได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ยกเว้นกรณีออกนอกระบบ หรือไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้ร่วมระบบ

2.4 ผู้มีสิทธิในระบบบัตรทอง (สิทธิบัตร 30 บาท)

สามารถใช้สิทธิรักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงินเองที่โรงพยาบาลตามหน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ เช่น โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลชุมชน


3. วิธีเช็คสิทธิจ่ายตรง เบิกค่ารักษาพยาบาล (อัปเดตปี 2568)

3.1 สำหรับข้าราชการและครอบครัว (ระบบกรมบัญชีกลาง)

ช่องทางตรวจสอบ:

  • เว็บไซต์ www.cgd.go.th

  • แอปพลิเคชัน “My GPF” หรือ “CGD Payment”

วิธีเช็ค:

  1. เข้าระบบด้วยเลขประจำตัวประชาชน

  2. ตรวจสอบสถานะสิทธิของตนเองและบุคคลในครอบครัว (บุตร, คู่สมรส)

  3. ตรวจสอบโรงพยาบาลที่เข้าร่วมระบบ

  4. ดูวงเงินค่ารักษา/ค่าทำฟัน/ค่ายา

กรณีฉุกเฉิน: หากไปโรงพยาบาลที่ไม่ได้ทำสัญญาจ่ายตรง ต้องสำรองจ่ายก่อน แล้วนำใบเสร็จไปเบิกเงินย้อนหลังได้


3.2 สำหรับผู้ประกันตนประกันสังคม

ช่องทางตรวจสอบ:

  • เว็บไซต์ www.sso.go.th

  • แอป “SSO Connect”

  • โทร. 1506 (สายด่วนประกันสังคม)

วิธีเช็ค:

  1. กรอกเลขบัตรประชาชน

  2. ระบบจะแสดงโรงพยาบาลหลักที่คุณเลือก

  3. ตรวจสอบว่าสิทธิของคุณยังอยู่ในสถานะ “ใช้งาน” หรือไม่

  4. หากต้องการเปลี่ยนโรงพยาบาลประจำ สามารถเปลี่ยนได้ปีละ 1 ครั้ง (ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี)


3.3 สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง

ช่องทางตรวจสอบ:

  • เว็บไซต์ www.nhso.go.th

  • แอป “เป๋าตัง” ในเมนู “สิทธิสุขภาพ”

  • แอป “สุขภาพดี Near You” โดย สปสช.

  • โทร. 1330 (สายด่วนบัตรทอง)

วิธีเช็ค:

  1. ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก

  2. ระบบจะแสดงชื่อโรงพยาบาลหรือหน่วยบริการหลัก

  3. หากต้องการเปลี่ยนสถานพยาบาล สามารถทำผ่านแอปหรือสำนักงาน สปสช. ใกล้บ้าน


4. โรงพยาบาลเอกชน ใช้สิทธิจ่ายตรงได้ไหม?

คำตอบคือ “ได้” บางกรณี โดยเฉพาะกรณีฉุกเฉินวิกฤติ มีชีวิตเป็นเดิมพัน (UCEP) ซึ่งรัฐมีนโยบายให้รักษาฟรีใน 72 ชั่วโมงแรก ทุกโรงพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน

เงื่อนไข:

  • อาการต้องเข้าเกณฑ์ฉุกเฉิน: เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก หมดสติ ฯลฯ

  • หากพ้น 72 ชั่วโมงแล้ว ต้องกลับไปใช้สิทธิในโรงพยาบาลประจำ

  • หากยังอยู่ต่อในโรงพยาบาลเอกชน อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เช็คสถานะการเข้าร่วมโครงการ UCEP ได้ที่:


5. เอกสารที่ต้องใช้เพื่อใช้สิทธิจ่ายตรง

แม้ระบบจ่ายตรงจะไม่ต้องสำรองเงิน แต่การเตรียมเอกสารให้ครบช่วยให้การใช้สิทธิราบรื่นขึ้น

เอกสารพื้นฐาน:

  • บัตรประชาชนตัวจริง

  • บัตรข้าราชการ หรือเลขทะเบียนข้าราชการ

  • ใบส่งตัว (ถ้ามี)

  • เอกสารรับรองสิทธิจากหน่วยงาน (ในบางกรณี เช่น บุตรที่มีอายุเกิน 20 ปีแต่ยังศึกษา)


6. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ใช้สิทธิจ่ายตรงต้องเสียค่าบริการไหม?
A: ไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติมหากอยู่ในสิทธิและอยู่ในโรงพยาบาลที่เข้าร่วมระบบ

Q: ใช้สิทธิได้เฉพาะตัวเองหรือรวมถึงครอบครัวด้วย?
A: สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ใช้ได้กับคู่สมรสและบุตรที่อายุตามเกณฑ์ ส่วนประกันสังคมและบัตรทอง ใช้ได้เฉพาะผู้มีสิทธินั้นเท่านั้น

Q: ไปโรงพยาบาลผิดที่ ใช้สิทธิได้ไหม?
A: ต้องสำรองจ่ายก่อน และนำเอกสารมาเบิกย้อนหลัง ยกเว้นกรณีฉุกเฉินที่เข้าเกณฑ์ UCEP

Q: เปลี่ยนสถานพยาบาลต้องทำยังไง?
A: สามารถเปลี่ยนผ่านเว็บไซต์/แอปของหน่วยงานที่ดูแลสิทธิ เช่น สปสช. หรือ สำนักงานประกันสังคม


7. สรุป: รู้สิทธิก่อนรักษา ประหยัดเงินได้มากกว่าที่คิด

สิทธิจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล คือสวัสดิการที่รัฐจัดไว้เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาลเกินจำเป็น แค่รู้ว่าเรามีสิทธิแบบไหน ใช้กับโรงพยาบาลใด และเตรียมเอกสารให้ครบ ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องควักเงินก่อน

ถาม-ตอบ (FAQ) วิธีเช็คสิทธิจ่ายตรง เบิกค่ารักษาพยาบาล


ถาม-ตอบ: เช็คสิทธิจ่ายตรง เบิกค่ารักษาพยาบาล 2568


Q: “สิทธิจ่ายตรง” กับ “สิทธิรักษาฟรี” ต่างกันอย่างไร?
A:
สิทธิจ่ายตรงคือระบบที่หน่วยงานต้นสังกัด เช่น กรมบัญชีกลาง ประกันสังคม หรือ สปสช. ชำระเงินค่ารักษาแทนผู้ป่วยโดยตรงกับโรงพยาบาล ส่วน “สิทธิรักษาฟรี” (เช่น บัตรทอง) คือสิทธิที่รัฐจัดให้สำหรับบริการพื้นฐานในหน่วยบริการประจำ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเองเช่นกัน แต่ไม่ครอบคลุมบริการพิเศษหรือรักษานอกระบบ


Q: เช็คสิทธิของตัวเองได้จากช่องทางไหนบ้าง?
A:

  • ข้าราชการ: เว็บไซต์ www.cgd.go.th หรือแอป My GPF

  • ประกันสังคม: www.sso.go.th หรือแอป SSO Connect

  • บัตรทอง: www.nhso.go.th, แอป เป๋าตัง หรือ โทร 1330


Q: ถ้าไปโรงพยาบาลเอกชน ใช้สิทธิได้ไหม?
A:
กรณีทั่วไป ไม่ได้ใช้สิทธิจ่ายตรง เว้นแต่กรณี ฉุกเฉินตามเกณฑ์ UCEP (เช่น หมดสติ หายใจไม่ออก) ซึ่งสามารถรักษาที่เอกชนได้โดยไม่ต้องสำรองจ่ายใน 72 ชั่วโมงแรก จากนั้นต้องย้ายไปรักษาต่อในหน่วยบริการตามสิทธิ


Q: ใช้สิทธิจ่ายตรงได้กี่ครั้งต่อปี?
A:
ขึ้นอยู่กับประเภทของสิทธิ

  • ข้าราชการ: ใช้ได้ไม่จำกัดครั้งภายในวงเงินที่กรมบัญชีกลางกำหนด

  • ประกันสังคม: ไม่จำกัดจำนวนครั้งถ้าอยู่ในโรงพยาบาลหลัก

  • บัตรทอง: ไม่จำกัดครั้งในการเข้ารักษาในหน่วยบริการตามสิทธิ


Q: ลูกและภรรยาของข้าราชการ ใช้สิทธิจ่ายตรงได้ไหม?
A:
ได้ โดยต้องเป็นผู้ที่อยู่ในทะเบียนรับรองสิทธิ เช่น บุตรอายุไม่เกิน 20 ปี (หรือนักศึกษาถึง 25 ปี) และคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง หากเป็นคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนหรือบุตรบุญธรรม ต้องยื่นขออนุมัติสิทธิพิเศษก่อน


Q: ใช้สิทธิจ่ายตรงต้องเตรียมอะไรไปโรงพยาบาล?
A:

  • บัตรประชาชน

  • บัตรข้าราชการ (ถ้ามี)

  • เลขประจำตัว 13 หลักของผู้ใช้สิทธิ

  • เอกสารรับรองสิทธิในกรณีพิเศษ เช่น ใบรับรองบุตร คู่สมรส ฯลฯ


Q: ใช้สิทธิแล้วต้องเซ็นเอกสารอะไรที่โรงพยาบาลไหม?
A:
บางโรงพยาบาลอาจให้ผู้ป่วยหรือญาติลงชื่อรับรองการใช้สิทธิ เพื่อยืนยันว่าคุณเป็นเจ้าของสิทธิจริง และยินยอมให้โรงพยาบาลเรียกเก็บเงินจากต้นสังกัดของคุณโดยตรง


Q: ตรวจฟัน ผ่าตัด เลเซอร์สายตา ใช้สิทธิได้ไหม?
A:

  • ผ่าตัด: ใช้ได้ในกรณีที่เป็นบริการพื้นฐานและมีแพทย์แนะนำ

  • ตรวจฟัน: มีวงเงินจำกัด เช่น สิทธิเบิกค่าขูดหินปูน/อุดฟัน (เช่น 900–1,200 บาทต่อปี)

  • เลเซอร์สายตา หรือศัลยกรรมเพื่อความงาม: ไม่สามารถใช้สิทธิจ่ายตรงได้ เนื่องจากอยู่นอกเกณฑ์การรักษาเพื่อการแพทย์


Q: จะเปลี่ยนโรงพยาบาลตามสิทธิ ต้องทำอย่างไร?
A:

  • ประกันสังคม: เปลี่ยนได้ปีละ 1 ครั้ง ภายในช่วงต้นปีผ่านเว็บไซต์หรือแอป SSO

  • บัตรทอง: เปลี่ยนได้ผ่านแอป เป๋าตัง หรือที่สำนักงาน สปสช. ใกล้บ้าน

  • ข้าราชการ: ไม่ต้องเปลี่ยนโรงพยาบาล เพราะระบบจ่ายตรงเปิดกว้างสำหรับโรงพยาบาลของรัฐเกือบทั้งหมดที่เข้าร่วมกับกรมบัญชีกลาง