
MRR คืออะไร? เข้าใจง่าย ๆ สำหรับคนวางแผนกู้เงินหรือทำสินเชื่อ
บทนำ
เวลาที่คุณไปติดต่อธนาคารเพื่อขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล หรือแม้แต่สินเชื่อธุรกิจ คำว่า “MRR” มักจะเป็นหนึ่งในคำที่ธนาคารพูดถึงบ่อย ๆ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า MRR คืออะไร และมีผลอย่างไรกับดอกเบี้ยที่เราต้องจ่าย
บทความนี้จะอธิบาย MRR ให้เข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ย และข้อควรรู้สำหรับคนที่วางแผนจะกู้เงินกับธนาคาร
MRR คืออะไร?
MRR (Minimum Retail Rate) หมายถึง “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย” หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานที่ธนาคารใช้คิดดอกเบี้ยกับ “ลูกค้าบุคคลทั่วไป” ที่กู้เงินประเภทไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก
MRR เป็นหนึ่งใน “3 อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน” ที่ธนาคารไทยใช้กันทั่วไป คือ
- MLR (Minimum Loan Rate) – ใช้กับลูกค้ารายใหญ่/ธุรกิจขนาดใหญ่
- MOR (Minimum Overdraft Rate) – ใช้กับวงเงินเบิกเกินบัญชี
- MRR (Minimum Retail Rate) – ใช้กับลูกค้ารายย่อยทั่วไป
สรุปสั้น ๆ: MRR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารตั้งไว้เพื่อใช้เป็น “ฐาน” คิดดอกเบี้ยกับสินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล และสินเชื่ออื่น ๆ สำหรับลูกค้าทั่วไป
ตัวอย่างการใช้ MRR ในสินเชื่อ
เมื่อคุณสมัครสินเชื่อ ธนาคารมักเสนอ “อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว” ที่อ้างอิงจาก MRR เช่น
- ดอกเบี้ย = MRR – 1.5% ต่อปี
- ดอกเบี้ย = MRR + 0.5% ต่อปี
- ดอกเบี้ย = MRR เท่ากับ 7.0% ต่อปี (สมมติฐาน)
เช่น ถ้า MRR ของธนาคารนั้น ๆ อยู่ที่ 7.0% ต่อปี และสินเชื่อบ้านเสนอเงื่อนไขว่า MRR – 1% ดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายคือ 7.0% – 1.0% = 6.0% ต่อปี (คิดแบบลดต้นลดดอก)
ทำไม MRR จึงสำคัญ?
เพราะ MRR จะมีผลต่อ “ค่างวด” และ “ดอกเบี้ยรวม” ที่คุณต้องจ่ายให้ธนาคาร เช่น
- ถ้า MRR สูง = ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสูงขึ้น
- ถ้า MRR ต่ำ = ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลง
และในช่วงโปรโมชั่นสินเชื่อบ้าน มักจะมีการให้ดอกเบี้ยคงที่ 1-3 ปีแรก จากนั้นจะ “ลอยตัว” โดยอ้างอิงกับ MRR ซึ่งหาก MRR เปลี่ยนแปลงในช่วงนั้น ดอกเบี้ยที่คุณจ่ายก็จะขึ้นหรือลงตามไปด้วย
ใครกำหนด MRR?
- แต่ละธนาคารกำหนดเอง แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสะท้อนต้นทุนทางการเงินของธนาคารในขณะนั้น เช่น ต้นทุนเงินฝาก ต้นทุนเงินทุน หรือสภาพเศรษฐกิจในประเทศ
- MRR ของแต่ละธนาคารจะไม่เท่ากัน เช่น
- ธนาคาร A MRR = 7.0%
- ธนาคาร B MRR = 6.8%
- ธนาคาร C MRR = 7.2%
ดังนั้น เวลาคุณเลือกกู้สินเชื่อ ควรเปรียบเทียบ MRR ของแต่ละธนาคารด้วย
MRR ต่างจาก MLR หรือ MOR อย่างไร?
อัตราดอกเบี้ย | ใช้กับใคร? | ตัวอย่างการใช้งาน |
---|---|---|
MRR | ลูกค้ารายย่อย (บุคคลทั่วไป) | สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อบุคคล, สินเชื่อ SME ขนาดเล็ก |
MLR | ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ | สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate Loan) |
MOR | วงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) | วงเงิน OD หรือวงเงินหมุนเวียนเบิกถอน |
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
สมมติ
- ธนาคาร A มี MRR = 7.0% ต่อปี
- คุณสมัครสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยหลังหมดโปรโมชัน = MRR – 1%
- ดังนั้นดอกเบี้ยคุณจะเป็น 6.0% ต่อปี
แต่ถ้าวันหนึ่ง ธนาคารประกาศปรับ MRR ขึ้นเป็น 7.5%
ดอกเบี้ยของคุณก็จะขยับขึ้นเป็น 7.5% – 1% = 6.5% ต่อปี โดยอัตโนมัติ
ข้อควรรู้
- MRR ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยตายตัว มีการปรับขึ้น-ลงตามสภาพเศรษฐกิจหรือทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
- ก่อนกู้เงิน ควรตรวจสอบ MRR ของแต่ละธนาคารและดูว่า “ส่วนลด MRR” ที่ได้รับเยอะหรือน้อยแค่ไหน
- หากคุณเลือกสินเชื่อที่เป็น MRR – 1.5% หรือ MRR – 2% ย่อมประหยัดดอกเบี้ยมากกว่าคนที่ได้ MRR – 0.5%
สรุป
MRR คืออัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย ที่ธนาคารใช้เป็นฐานคำนวณดอกเบี้ยให้กับสินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อ SME รายเล็ก ดังนั้นหากคุณกำลังวางแผนกู้เงิน ควรเข้าใจว่า MRR ที่ต่ำกว่า = ดอกเบี้ยที่คุณจ่ายน้อยกว่า และส่งผลให้ค่างวดรายเดือนเบาลงด้วย
Tip: เวลาจะกู้บ้านหรือสินเชื่อส่วนบุคคล อย่าลืมเปรียบเทียบ “MRR” และดูโปรโมชันดอกเบี้ยช่วงแรก + ดอกเบี้ยหลังหมดโปร เพื่อวางแผนการผ่อนชำระให้เหมาะสมครับ