ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ทองคำ” กลับมาเป็นประเด็นร้อนของโลกการลงทุนอีกครั้ง หลังจากราคาพุ่งทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงอยู่ในแนวโน้ม “ขาขึ้น” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในปี 2025 ที่หลายฝ่ายคาดว่าอาจเป็น “ปีทองของทองคำ” จริง ๆ ทั้งจากแรงซื้อของธนาคารกลาง การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ทั่วโลก
สำหรับคนไทยที่นิยมซื้อทองแท่งหรือทองรูปพรรณ การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานของราคาทองในรอบใหม่นี้จึงสำคัญมาก เพราะสิ่งที่ผลักดันราคาทองในวันนี้ ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนอีกต่อไป
ทองคำ: จากสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สู่ “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ของประเทศ
ในอดีต ทองคำเป็นเพียงสินทรัพย์ที่ช่วยปกป้องเงินเฟ้อและรักษามูลค่าความมั่งคั่งของคนทั่วไป ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 4% ต่อปี แต่ในรอบปัจจุบัน ทองคำกลายเป็น “เครื่องมือทางยุทธศาสตร์” ที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อก่อน นักลงทุนเอกชนคือกลุ่มหลักที่ซื้อทองคำ แต่ปัจจุบัน ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ คือผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และสิงคโปร์ ที่เพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง เหตุผลสำคัญคือ ความไม่มั่นใจในค่าเงินดอลลาร์
ดอลลาร์ซึ่งเคยเป็น “ราชาแห่งสกุลเงินโลก” กำลังเผชิญปัญหาใหญ่จากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยับถึง 40 ล้านล้านในไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้หลายประเทศเริ่มกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่สามารถควบคุมความมั่นคงทางการคลังได้อีกต่อไป
เมื่อผนวกเข้ากับการที่จีนกลายเป็นประเทศผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก การใช้ดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารกลางกวาดซื้อทอง: จุดเปลี่ยนของตลาดโลก
หนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของราคาทองในปี 2025 คือ “การซื้อทองของธนาคารกลาง” ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 50 ปี หลายประเทศที่ไม่เคยถือทองคำในทุนสำรองมาก่อน เริ่มทยอยซื้อเก็บเพื่อกระจายความเสี่ยงทางการเงิน
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปริมาณทองคำสำรองทั่วโลกอยู่ราว 1,100 ล้านตัน แต่หากจะกลับไปมีสัดส่วนเท่ากับยุคที่ทองคำยังหนุนหลังค่าเงิน (ก่อนสหรัฐฯ จะยกเลิกระบบทองคำในปี 1971) โลกต้องซื้อทองเพิ่มอีกกว่า 3,600 ล้านตัน นั่นหมายความว่าความต้องการทองคำระดับ “มหาศาล” อาจเกิดขึ้นในทศวรรษนี้
ประเทศไทยเองติด 1 ใน 10 ของประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดของโลก เมื่อเทียบกับสัดส่วนทุนสำรองทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในทองคำของธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นกัน
ดอลลาร์อ่อน–โลกเปลี่ยน: ทองคำยังขาขึ้น
หลายสำนักวิจัยประเมินตรงกันว่า หากค่าเงินดอลลาร์ยังไม่สามารถกลับมามีความเชื่อมั่นได้ในปี 2025 ทองคำจะยังคงเป็น “สินทรัพย์ขาขึ้น” ต่อไป แม้จะมีการปรับฐานบ้างในระหว่างทางก็ตาม
แรงหนุนอีกประการคือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการค้าโลก ที่ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง เมื่อประเทศต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขาย เช่น การซื้อขายน้ำมันระหว่างจีนกับซาอุดีอาระเบีย หรือการใช้เงินหยวนแทนดอลลาร์ในการค้ากับรัสเซีย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนลดบทบาทของสกุลเงินสหรัฐฯ และผลักดันทองคำให้เป็นสินทรัพย์ที่คนทั่วโลกไว้วางใจแทน
ความเสี่ยงที่กลายเป็นแรงหนุน: สงคราม เงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน
อีกปัจจัยที่นักลงทุนไม่อาจมองข้ามคือ ความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งกลายเป็นแรงขับสำคัญของราคาทองในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่สงครามรัสเซีย–ยูเครน ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ไปจนถึงการเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทั้งหมดนี้ทำให้ตลาดการเงินโลกอยู่ในภาวะ “ไร้ความแน่นอน” และทองคำกลับมาโดดเด่นในฐานะ “สินทรัพย์หลบภัย”
นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่อง เงินเฟ้อ (Inflation) ก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ทองคำยังมีเสน่ห์ในปี 2025 นักวิเคราะห์คาดว่าเงินเฟ้อทั่วโลกอาจปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากผู้ประกอบการในสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มทยอยขึ้นราคาสินค้า หลังเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากแบกรับต้นทุนภาษีและโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มกลับไปแตะระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ก็จะส่งผลต่อราคาสินค้าและค่าขนส่งทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายก็หนุนให้ทองคำแข็งค่าตามไปด้วย
กล่าวได้ว่า “ยิ่งโลกมีความเสี่ยงมากเท่าไร ทองคำยิ่งมีค่ามากเท่านั้น”
มุมมองสำหรับนักลงทุนไทย: ทองคำไม่ใช่แค่ของสะสม
ในบริบทของไทย การถือทองคำไม่ได้มีเพียงมูลค่าทางวัตถุเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “วัฒนธรรมการออม” ที่สืบทอดมายาวนาน คนไทยนิยมซื้อทองในรูปแบบทองรูปพรรณหรือทองแท่งไว้เก็บค่าเงินในระยะยาว ซึ่งต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้ที่ต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิค
แต่ในยุคดิจิทัลนี้ นักลงทุนไทยมีทางเลือกมากขึ้น ทั้งการซื้อขายทองผ่านแอปพลิเคชัน การลงทุนในกองทุนทอง (Gold ETF) หรือการออมทองรายเดือนผ่านธนาคาร ซึ่งช่วยให้การเข้าถึงทองคำง่ายและสะดวกกว่าที่เคย
สิ่งที่ควรระวังคือ “การคาดการณ์ผิด” เพราะแม้ทองคำจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ก็มีการปรับฐานเป็นระยะ การกระจายความเสี่ยงและติดตามข่าวสารเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ถาม–ตอบ: ทองคำ 2025 ยังน่าซื้ออยู่ไหม?
ถาม: ราคาทองคำปี 2025 จะยังขึ้นต่อหรือไม่?
ตอบ: แนวโน้มโดยรวมยัง “ขาขึ้น” จากปัจจัยหลายด้าน ทั้งดอลลาร์ที่อ่อนค่าต่อเนื่อง หนี้สหรัฐฯ ที่เพิ่มสูง ความต้องการทองของธนาคารกลาง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเข้าใจว่าราคาทองมีรอบปรับฐานระหว่างทาง จึงควรทยอยลงทุนแทนการทุ่มซื้อครั้งเดียว
ถาม: ทองคำป้องกันเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่?
ตอบ: ได้ในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อเงินเฟ้อสูง ค่าของเงินลดลง แต่ราคาทองมักจะปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ทองคำไม่ได้สร้างกระแสรายได้เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร จึงควรใช้เพื่อกระจายความเสี่ยง มากกว่าการถือทั้งหมด
ถาม: ควรซื้อทองรูปพรรณ ทองแท่ง หรือทองออนไลน์ดี?
ตอบ: หากต้องการลงทุนจริงจังเพื่อผลกำไรระยะกลางถึงยาว ทองแท่งหรือกองทุนทองจะเหมาะกว่า เพราะมีค่ากำเหน็จน้อยและสภาพคล่องสูง แต่ถ้าต้องการเก็บสะสมหรือมีความผูกพันทางจิตใจ ทองรูปพรรณก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี
ถาม: นักลงทุนไทยควรซื้อทองตอนนี้หรือรอให้ราคาปรับฐาน?
ตอบ: หากราคาทองขึ้นแรงในระยะสั้น การรอจังหวะปรับฐานก่อนเข้าซื้ออาจเป็นทางเลือกที่รอบคอบกว่า แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว การทยอยสะสมทองทุกเดือน (DCA) จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้ดีที่สุด
ทองคำไม่ใช่แค่ของมีค่า แต่คือ “ตัวชี้วัดความไม่แน่นอนของโลก”
ทองคำในปี 2025 ไม่ได้สะท้อนเพียงมูลค่าของโลหะสีเหลือง แต่สะท้อนถึง ความไม่มั่นคงของระบบการเงินโลก ตั้งแต่หนี้สหรัฐฯ ที่พุ่งสูง การลดบทบาทของดอลลาร์ ไปจนถึงการปรับสมดุลอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างตะวันตกกับตะวันออก
ในขณะที่โลกยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งสงคราม เงินเฟ้อ และความขัดแย้งทางการค้า ทองคำจึงยังคงเป็น “ที่หลบภัยทางการเงิน” ของทั้งประเทศมหาอำนาจและประชาชนทั่วไป
สำหรับนักลงทุนไทย การมีทองคำในพอร์ตอย่างน้อยบางส่วนยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เพราะต้องการเก็งกำไรระยะสั้น แต่เพราะทองคำยังคงเป็น “หลักประกันแห่งความมั่นคง” ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน