ไม่ว่าท่านมีสถานะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ สิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ “เงิน” อย่าง “สัญญากู้ยืมเงิน” นั้น ก็เป็นเอกสารสำคัญที่สุดประการหนึ่ง เพราะสัญญากู้ยืมเงินนั้นจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกและสามารถระบุรายละเอียด เงื่อนไขและที่สำคัญคือ สามารถใช้เป็นหลักฐานการทำนิติกรรม หรือการกู้ยืมเงินนั้น สำหรับการใช้บังคับให้มีการชำระหนี้หรือการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมายได้ ดังนั้น เพราะเป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานในสัญญากู้ยืมเงิน วันนี้เราจึงมาพร้อมกับบทความแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ “หลักฐานในสัญญากู้ยืมเงินมีความสำคัญอย่างไร” เราจะได้ทราบกัน
สัญญากู้ยืมเงิน
ตามข้อกฎหมายนั้น สัญญากู้ยืมเงิน หรือสัญญายืมนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สัญญายืมใช้คงรูป และสัญญาใช้สิ้นเปลือง ซึ่งการกู้ยืมเงินนั้นจัดอยู่ในประเภทของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั่นเอง โดยสัญญาชนิดนี้จะเป็น สัญญาที่ผู้ให้ยืมได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นในปริมาณที่มีการกำหนดให้แก่ผู้ยืม หรือลูกหนี้ และผู้ยืมนั้น จะต้องตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินประเภท ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันกับที่ยืม ซึ่งสัญญายืมนี้จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมเสร็จสิ้น
สัญญากู้ยืมเงิน มีกี่แบบ
สัญญากู้ยืมเงินนั้น นอกจากจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัญญาใช้สิ้นเปลืองแล้ว ในทางกฎหมายยังมีการแบ่งสัญญากู้ยืมเงินออกเป็น 2 กรณี คือ
- กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืม ไม่เกิน 2,000 บาท โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำหลักฐานการกู้ยืมต่อกัน ดังนั้น แม้ว่าจะมีการตกลงกันเป็นวาจาก็ตาม เมื่อมีการผิดสัญญาก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย
- กรณีกู้ยืมเงินเกิน 2,000 บาทขึ้นไป กฎหมายมีการกำหนดให้การกู้ยืมนั้น จะต้องมีการทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องหรือบังคับให้เป็นไปตามตดีต่อกันไม่ได้
หลักฐานในสัญญากู้ยืมเงินที่มีความสำคัญ
ดังนั้น หลักฐานในสัญญากู้ยืมเงินนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องมีข้อความชัดเจนว่ามีการกู้ยืมเงินกันไปเป็นจำนวนเท่าใด และตกลงจะใช้คืนเมื่อใด และประเด็นที่มีความสำคัญ คือ จะต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเงินเป้นสำคัญ ทั้งนี้หากจะกล่าวเป็นรายละเอียดและข้อสรุปของสัญญากู้ยืมเงินนั้น สามารถนำเสนอตามรายการดังนี้
- วันที่ทำสัญญากู้ยืมเงิน
- ชื่อ ผู้ขอกู้ยืมเงินและชื่อผู้ให้ยืมเงิน
- จำนวนเงินที่กู้
- กำหนดวันชำระ (ซึ่งอาจจะมีหรือไม่ก็ได้)
- อัตราดอกเบี้ย ซึ่งตามกฎหมายจะต้องไม่เกิน 15% ต่อปี แต่ถ้าไม่ได้กำหนดไว้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 7.5% ต่อปี
- ต้องมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเงิน สำหรับกรณีที่เป็นการพิมพ์ลายนิ้วมือ จะต้องมีการรับรองลายนิ้วมือนั้นโดยพยาน 2 คน
ดังนั้นเมื่อท่านจำเป็นจะต้องดำเนินการทำสัญญากู้ยืมเงินแล้ว รายละเอียดต่าง ๆ ตามที่เราได้กล่าวไปนั้น จะต้องมีระบุอยู่ในสัญญาเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เมื่อลูกหนี้หรือผู้กู้ยืมเงินผิดสัญญา เพราะหากเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ขาดรายละเอียด ท่านในฐานะผู้ให้กู้อาจจะไม่สามารถดำเนินการฟ้องร้องตามคดีได้นั่นเอง
ข้อแนะนำเพิ่มเติม สำหรับการทำสัญญากู้ยืมเงิน
เมื่อท่านจะต้องลงนามในสัญญา จริง ๆ แล้วสำหรับการทำสัญญาหรือเอกสารสำคัญทุกชนิด ท่านไม่ควรลงนามหรือเซ็นชื่อให้หน้ากระดาษเปล่าโดยเด็ดขาด และไม่ควรแม้กระทั่งหน้ากระดาษที่ต่อจากเอกสารอื่น ๆ โดยนามที่ท่านลงนามนั้น ควรจะต้องมีการระบุหัวข้อของเอกสาร หมายเลขหน้าและเนื้อหาของเอกสารที่ชัดเจน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการแอบอ้างลายเซ็นหรือนำเอกสารฉบับนั้นที่มีการลงชื่อไปใช้ในทางมิชอบ นอกจากนี้ สำหรับการทำสัญญากู้ยืมเงิน ก่อนที่ท่านจะลงนาม ท่านควรตรวจสอบรายละเอียดและความถูกต้องทั้งหมด ไม่ควรรีบ และควรทำสัญญาอย่างน้อย 2 ฉบับเสมอ โดยมอบให้ผู้กู้ยืมถือไว้เอง 1 ฉบับ และควรมีพยานในขณะการสัญญาอย่างน้อย 1 – 2 คน เช่นกัน
กู้ยืมเงินทางไลน์ ข้อความก็ใช้เป็นหลักฐานได้
สำหรับหลาย ๆ ท่านที่มีประสบการณ์การขอยืมเงินหรืออาจจะถูกยืมเงินผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อความ LINE กฎหมายล่าสุดได้มีการระบุให้ท่านสามารถเก็บหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นได้ โดยจะตองมีประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
- ข้อความนั้น ๆ จะต้องเป็นการสนทนาทั้ง 2 ฝ่าย ที่มีการโต้ตอบกัน ซึ่งจะต้องมีข้อความแสดงถึงการขอยืมเงินที่ชัดเจน
- ข้อความนั้นจะต้องมีการระบุชื่อผู้สนทนาทั้ง 2 ฝ่าย หรืออาจจะเป็น User Account พร้อมทั้งจำนวนเงิน และจะต้องมีหลักฐานการโอนเงินจริง ๆ
เนื่องจากการขอยืมเงินหรือกู้ยืมเงินผ่านทางการสนทนา LINE หรือระบบส่งข้อความนั้น เป็นอีกช่องทางที่มีความรวดเร็วและทันเวลา ดังนั้น ทุกท่านก็ควรจะทราบและรู้ทันการปรับตัวที่จะเก็บหลักฐานและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงินไว้ด้วย เพื่อให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้หากเกิดกรณีปัญหาและการผิดนัดชำระ
อ้างอิง 1
