10 วิธีเก็บเงินให้ได้ผลสำหรับคนเริ่มทำงาน

การเริ่มต้นทำงานคือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เพราะเป็นช่วงที่เราเริ่มมีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่ก็เป็นช่วงที่หลายคนรู้สึกว่า “เงินเดือนหายเร็ว” ใช้ไม่ถึงสิ้นเดือน ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บเงินแต่กลับเก็บไม่ได้จริงสักที ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของรายได้เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ “วินัยทางการเงิน” และ “วิธีคิดเรื่องเงิน” ที่ยังไม่ถูกต้องพอ

บทความนี้จะพาคุณมาดู 10 วิธีเก็บเงินให้ได้ผลสำหรับคนเริ่มทำงาน ที่เหมาะกับคนยุคใหม่ในบริบทของสังคมไทยปี 2568 ซึ่งค่าครองชีพสูง รายจ่ายรอบตัวมาก แต่ถ้าวางแผนดีและใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ก็สามารถเริ่มต้นสร้างฐานะได้ตั้งแต่งานแรกเลยทีเดียว


1. เริ่มเก็บเงินตั้งแต่เงินเดือนแรก

สิ่งที่คนเริ่มทำงานควรทำทันทีคือ “หักเงินเก็บก่อนใช้จ่าย” เพราะถ้ารอให้เหลือแล้วค่อยเก็บ มักจะไม่เหลือเลย วิธีนี้เรียกว่า “จ่ายให้ตัวเองก่อน” เช่น เมื่อเงินเดือนออก ให้โอน 10–20% เข้าบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีฝากประจำโดยอัตโนมัติ วิธีนี้ช่วยสร้างนิสัยการออมอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องคิดมาก

ในยุคที่มีแอปธนาคารออนไลน์มากมาย เช่น SCB EASY, K PLUS หรือ Krungthai NEXT การตั้งระบบหักเงินอัตโนมัติ (Auto Transfer) เป็นวิธีเก็บเงินที่สะดวกและได้ผลจริง เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานและยังไม่มีวินัยมากนัก


2. แยกบัญชีให้ชัดเจน

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้คนเก็บเงินไม่อยู่คือ “รวมทุกอย่างไว้ในบัญชีเดียว” จนไม่รู้ว่าเงินส่วนไหนคือเงินใช้จ่าย และส่วนไหนคือเงินเก็บ การแยกบัญชีออกเป็นอย่างน้อยสองบัญชี คือ บัญชีรายวัน กับบัญชีเก็บออม จะช่วยให้บริหารเงินได้ง่ายขึ้น

บัญชีรายวันใช้สำหรับค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ส่วนบัญชีออมควรตั้งไว้แยกต่างหาก เช่น บัญชีฝากประจำ หรือบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ซึ่งในปี 2568 ธนาคารไทยหลายแห่งมีผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ดิจิทัลที่ให้ดอกเบี้ยมากกว่า 2% ต่อปี เช่น TTB All Free, SCB e-Savings หรือ Krungsri i-Savings


3. ตั้งเป้าหมายการออมอย่างชัดเจน

การเก็บเงินจะได้ผลที่สุดเมื่อมี “เป้าหมาย” เพราะเป้าหมายช่วยให้เรารู้ว่าเก็บไปเพื่ออะไร เช่น เก็บเพื่อซื้อบ้าน เก็บเพื่อเที่ยว หรือเก็บเพื่อกองทุนฉุกเฉิน การตั้งเป้าหมายยังช่วยให้รู้สึกสนุกกับการออมมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากมีเงินเก็บ 100,000 บาทใน 2 ปี ก็ต้องออมเดือนละ 4,200 บาท วิธีนี้ทำให้เห็นภาพและสร้างแรงจูงใจในการออมมากกว่าเก็บไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย


4. ใช้เทคนิค “แบ่งเงิน 50-30-20”

วิธีนี้เป็นสูตรการจัดสรรเงินที่คนรุ่นใหม่ใช้กันทั่วโลก โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วนคือ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง 30% สำหรับสิ่งที่อยากใช้ เช่น ซื้อของ ดูหนัง หรือท่องเที่ยว และ 20% สำหรับการเก็บออม

แม้จะเป็นสูตรง่าย ๆ แต่ใช้ได้ผลจริง โดยเฉพาะสำหรับคนเริ่มทำงานที่ยังไม่รู้วิธีจัดการเงินเดือน เทคนิคนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการออมเงินในเวลาเดียวกัน


5. สร้างกองทุนฉุกเฉิน

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มทำงานหรือทำมาหลายปีแล้ว การมี “กองทุนฉุกเฉิน” คือสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะชีวิตเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ป่วย รถเสีย หรือบริษัทเลิกจ้าง กองทุนฉุกเฉินควรมีอย่างน้อย 3–6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน

ในปี 2568 ธนาคารและแอปดิจิทัลหลายแห่ง เช่น TrueMoney Wallet และ SCB EASY มีฟีเจอร์ “ออมเงินอัตโนมัติ” ที่ช่วยตั้งกองทุนฉุกเฉินได้ง่าย เพียงกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการเก็บและระบบจะตัดเงินเข้ากองทุนทุกเดือนโดยอัตโนมัติ


6. ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่ต้องตัดทุกอย่าง

การเก็บเงินไม่ได้หมายถึงการอดออมทุกอย่าง แต่คือการรู้จัก “ใช้เงินอย่างมีสติ” เช่น ลดการซื้อกาแฟทุกวันจาก 100 บาทเหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือเลิกซื้อของออนไลน์โดยไม่ได้วางแผน เพียงเท่านี้ก็ประหยัดได้หลายพันบาทต่อเดือน

เทคนิคที่ได้ผลคือ “จดบันทึกรายจ่าย” อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพราะจะช่วยให้เห็นภาพรวมว่าเงินส่วนใหญ่หมดไปกับอะไร และสามารถปรับพฤติกรรมการใช้เงินให้เหมาะสมได้


7. ใช้เทคโนโลยีช่วยเก็บเงิน

ในยุคดิจิทัลปี 2568 การเก็บเงินง่ายขึ้นมาก เพราะมีเครื่องมือทางการเงินมากมาย เช่น แอปเก็บเงินอัตโนมัติ แอปลงทุน หรือแอปกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Piggipo, YouTrip หรือ KMA ที่ช่วยติดตามรายจ่ายและเป้าหมายการออม

บางแอปมีระบบ “ปัดเศษอัตโนมัติ” คือเมื่อคุณใช้จ่าย 95 บาท ระบบจะเก็บเศษ 5 บาทเข้าบัญชีออมโดยอัตโนมัติ แม้จะดูเล็กน้อย แต่เมื่อทำต่อเนื่องตลอดปี ก็สามารถเก็บเงินได้หลายพันบาทแบบไม่รู้ตัว


8. ลงทุนเล็ก ๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน

เมื่อมีเงินเก็บพอสมควร การเริ่มลงทุนเป็นอีกขั้นที่ช่วยให้เงินเติบโต เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ หุ้นปันผล หรือกองทุน RMF และ SSF ที่ช่วยลดหย่อนภาษี การลงทุนไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยเงินก้อนใหญ่ เพียง 500–1,000 บาทต่อเดือนก็เริ่มได้

สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาและเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตนเอง เพราะเป้าหมายของการลงทุนสำหรับคนเริ่มทำงานคือ “ความต่อเนื่อง” ไม่ใช่ “ผลตอบแทนระยะสั้น”


9. ใช้สิทธิพิเศษจากนายจ้างหรือธนาคารให้คุ้มค่า

หลายบริษัทมีสวัสดิการดี ๆ ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเก็บเงินได้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ที่บริษัทสมทบเงินออมให้ตามสัดส่วนเงินเดือน หรือสวัสดิการเงินฝากดอกเบี้ยสูงสำหรับพนักงาน หากมีโอกาสควรเข้าร่วมทันที เพราะถือเป็น “เงินเพิ่มฟรี” ที่ช่วยให้เงินออมเติบโตเร็วขึ้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารหลายแห่งก็มีโปรโมชั่นดอกเบี้ยสูงหรือบัญชีออมพิเศษสำหรับผู้เริ่มทำงาน เช่น Krungthai NEXT Savings หรือ SCB M Design ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ


10. เปลี่ยนความคิดจาก “เก็บเงินไว้ใช้” เป็น “เก็บเงินไว้สร้างอนาคต”

สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ทัศนคติทางการเงิน” คนที่มองว่าเก็บเงินเพื่อความมั่นคงในอนาคต มักมีแรงจูงใจในการออมมากกว่าเก็บเพื่อใช้จ่ายเฉย ๆ เพราะรู้ว่าทุกบาทที่เก็บวันนี้ คืออิสรภาพทางการเงินในวันหน้า

การเก็บเงินจึงไม่ใช่เรื่องของจำนวน แต่เป็นเรื่องของ “ความต่อเนื่อง” เพราะต่อให้เก็บเดือนละ 500 บาท แต่ทำทุกเดือน ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เคยเริ่มต้นเลย


ถาม–ตอบเกี่ยวกับการเก็บเงินสำหรับคนเริ่มทำงาน

ถาม: คนเพิ่งเริ่มทำงานเงินเดือนน้อย จะเก็บเงินได้ไหม?
ตอบ: ได้แน่นอน เพราะการเก็บเงินไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ แต่อยู่ที่การจัดการรายจ่ายและวินัยในการออม แม้จะเก็บเดือนละ 300–500 บาท ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ถาม: ควรเก็บเงินเท่าไหร่ต่อเดือนถึงจะพอ?
ตอบ: ควรเก็บอย่างน้อย 10–20% ของรายได้ เช่น หากได้เงินเดือน 15,000 บาท ควรออมอย่างน้อย 1,500–3,000 บาทต่อเดือน

ถาม: เก็บเงินกับลงทุนต่างกันอย่างไร?
ตอบ: การเก็บเงินคือการรักษาเงินต้นให้ปลอดภัย ส่วนการลงทุนคือการนำเงินไปต่อยอดเพื่อสร้างผลตอบแทน ดังนั้นควรเริ่มเก็บเงินก่อน แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือไปลงทุน

ถาม: ใช้แอปเก็บเงินดีกว่าฝากธนาคารไหม?
ตอบ: แอปเก็บเงินช่วยสร้างวินัยและติดตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น แต่ควรเลือกแอปที่เชื่อถือได้และมีระบบรักษาความปลอดภัยจากธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต

ถาม: ถ้าเก็บเงินไม่อยู่ ควรเริ่มจากตรงไหน?
ตอบ: เริ่มจาก “การจดรายจ่าย” และ “ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ” เช่น เก็บวันละ 50 บาท เมื่อทำได้ต่อเนื่องจะสร้างแรงจูงใจและนิสัยทางการเงินที่ดี


สรุป

การเริ่มต้นเก็บเงินไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยวินัยและความตั้งใจ โดยเฉพาะสำหรับคนเริ่มทำงาน การวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้อนาคตมั่นคงกว่าเดิมหลายเท่า ทั้ง 10 วิธีเก็บเงินที่กล่าวมานี้ เช่น การหักออมอัตโนมัติ การตั้งเป้าหมาย การลงทุนเล็ก ๆ และการใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารเงิน ล้วนเป็นแนวทางที่ทำได้จริงและเหมาะกับบริบทของคนไทยในปี 2568

ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน การมีเงินเก็บไม่ใช่แค่ความมั่นใจ แต่คือ “อิสระทางการเงิน” ที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการโดยไม่ต้องกลัวสิ้นเดือนอีกต่อไป

วิธีเก็บเงินให้ได้ผล, วิธีเก็บเงินสำหรับคนเริ่มทำงาน, เก็บเงินยังไงให้ได้ผลจริง, วิธีออมเงิน 2568, เทคนิคเก็บเงินคนทำงานใหม่, เก็บเงินเดือนแรกยังไงดี, เคล็ดลับเก็บเงิน 2568, วิธีบริหารเงินเดือนแรก, เริ่มออมเงินยังไงให้ได้ผล