1. ภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะ ฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง แม้ไม่ถดถอยรุนแรง แต่การเติบโตยังอ่อนแรงจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคส่งออก การผลิต และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทั้งสามภาคส่วนนี้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและ ค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่า 8% ทำให้ผู้ส่งออกและนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียเปรียบ
ภาคครัวเรือนยังเผชิญภาระหนี้สูงถึง ร้อยละ 90 ของ GDP รายได้ไม่ทันค่าครองชีพ ส่งผลให้กำลังซื้อและการออมลดลง ประเทศจึงติดอยู่ใน กับดักรายได้ปานกลาง ที่ยืดเยื้อมานานเพราะขาดอุตสาหกรรมใหม่มาทดแทนฐานเก่า
2. ทิศทางการปฏิรูปและโอกาสใหม่
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัย “เครื่องยนต์ใหม่” สองกลุ่มหลัก
-
เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ได้แก่ AI, Data Center, Fintech, Digital Banking, Health Tech และ EdTech
-
เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เช่น พลังงานสะอาด, EV, และเกษตรยั่งยืน
การท่องเที่ยวควรพัฒนาไปสู่รูปแบบสร้างประสบการณ์ เช่น Wellness, Medical Tourism และ Business Tourism ขณะเดียวกัน บริการทางการเงินดิจิทัล เช่น Mobile Banking และ PromptPay ช่วยขยายการเข้าถึงระบบการเงินต้นทุนต่ำ
การปฏิรูปจำเป็นต้องเริ่มจาก การศึกษาและแรงงาน ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน SME ส่วน เสถียรภาพทางการเมือง ต้องมั่นคงเพื่อให้นโยบายต่อเนื่องและมีผลจริง
3. การเงินส่วนบุคคลและการวางแผนเกษียณ
เมื่ออายุขัยเฉลี่ยของคนรุ่นใหม่อาจยาวถึง 100 ปี การเตรียมเงินเกษียณจึงสำคัญยิ่ง เช่น หากต้องการใช้เดือนละ 50,000 บาทตั้งแต่อายุ 60 ถึง 85 ปี ต้องมีเงินสะสม ราว 22 ล้านบาท
ภัยทางการเงินหลักคือ เงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเพิ่มเฉลี่ยปีละ 15% เช่น ผ่าตัดไส้ติ่งจากหลักหมื่นเพิ่มเป็นราว 150,000–200,000 บาท และภาระหนี้ที่สูงทำให้หลายคน “แก่ก่อนรวย”
หลักการบริหารการเงินควรเริ่มจาก
-
ทำบัญชีรายรับรายจ่าย แยก “สิ่งจำเป็น” ออกจาก “สิ่งอยากได้”
-
ออมก่อนใช้ มีเงินสำรองฉุกเฉิน
-
ลดหนี้เดิม โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยสูงถึง 16%
-
เริ่มลงทุนเร็วเพื่อใช้ประโยชน์จาก ดอกเบี้ยทบต้น
การลงทุนควรสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว เช่น แผนเกษียณหรือการศึกษาบุตร หากไม่เชี่ยวชาญ สามารถใช้บริการกองทุนรวมแบบบริหารพอร์ต (Multi Asset Strategy) เพื่อลดความเสี่ยงจากอารมณ์ในการตัดสินใจ