
หลายคนที่เคยมีประวัติค้างชำระหนี้หรือเคยเป็น “NPL” (หนี้เสีย) มักจะเผชิญกับปัญหาใหญ่ คือ “ติดแบล็คลิส” หรือ “เครดิตเสีย” ในเครดิตบูโร ทำให้เวลาจะขอสินเชื่อใหม่กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน มักถูกปฏิเสธ เพราะธนาคารมองว่าเป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง
แล้วถ้า “ติดแบล็คลิสกู้เงินที่ไหนได้บ้าง?” หรือมีทางออกอื่นที่ช่วยแก้ไขหรือพลิกเครดิตเสียให้ดีขึ้นหรือไม่? บทความนี้จะช่วยคุณหาคำตอบ พร้อมแนะนำสินเชื่อไม่เช็คบูโรที่พอจะเป็นทางเลือก และแนวทางฟื้นฟูเครดิตบูโรให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ติดแบล็คลิสในเครดิตบูโร คืออะไร?
จริง ๆ แล้ว “เครดิตบูโร” ไม่ได้เป็นคน “แบล็คลิส” หรือปฏิเสธสินเชื่อใด ๆ แต่ทำหน้าที่เพียง เก็บข้อมูลการชำระหนี้ ของลูกค้าที่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินเท่านั้น โดย “ติดแบล็คลิส” ที่คนทั่วไปเรียกกัน หมายถึง มีประวัติค้างชำระนานกว่า 90 วันขึ้นไป หรือถูกจัดอยู่ในกลุ่ม หนี้เสีย (NPL) นั่นเอง
เมื่อตรวจสอบเครดิตบูโรแล้วพบว่ามีสถานะ NPL หรือค้างชำระนาน ๆ ธนาคารหรือไฟแนนซ์ส่วนใหญ่จะ ไม่อนุมัติสินเชื่อใหม่ ให้จนกว่าจะเคลียร์หนี้เก่าหรือปรับปรุงเครดิตเรียบร้อยแล้ว
ติดแบล็คลิสกู้เงินที่ไหนได้บ้าง?
แม้จะมีเครดิตเสีย แต่ยังพอมี “สินเชื่อไม่เช็คบูโร” หรือ “สินเชื่อที่ผ่อนปรนเงื่อนไข” ที่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยู่ในสถานะนี้ เช่น
1. สินเชื่อ Non-Bank บางประเภท (ไม่เช็คบูโร)
Non-Bank หรือสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น บริษัทไฟแนนซ์ บริษัทปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลบางแห่ง อาจมีโปรแกรมสินเชื่อไม่เช็คเครดิตบูโร หรือเน้นดูจากรายได้และพฤติกรรมการเงินปัจจุบันมากกว่า เช่น:
- สินเชื่อฟินนิกซ์ (FINNIX)
- สินเชื่อเงินทันเด้อ (Money Thunder)
- สินเชื่อ LINE BK (สำหรับกลุ่มรายได้ไม่แน่นอน)
- สินเชื่อรถแลกเงิน บางบริษัท
2. สินเชื่อ “มีหลักประกัน”
ถ้ามี ทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ บ้าน หรือที่ดิน บางบริษัทสินเชื่อรถแลกเงินหรือสินเชื่อบ้านแลกเงินอาจอนุมัติแม้มีประวัติเสีย แต่ต้องขึ้นกับมูลค่าหลักประกันและพฤติกรรมการเงินปัจจุบัน เช่น
- ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ
- สมหวัง เงินสั่งได้
- เมืองไทยแคปปิตอล
3. สินเชื่อในระบบที่มีแคมเปญช่วยเหลือ
บางช่วงอาจมีโครงการจาก ธนาคารของรัฐ หรือโครงการฟื้นฟูหนี้ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เคยมีประวัติค้างชำระ เช่น:
- โครงการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธนาคารออมสิน
- สินเชื่อฟื้นฟูของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
- สินเชื่อช่วยเหลือพิเศษของ ธนาคารออมสิน/ธอส. ในช่วงวิกฤติ
4. สินเชื่อสำหรับฟรีแลนซ์หรือกลุ่มนอกระบบ
บาง Non-Bank อาจมีสินเชื่อที่ออกแบบสำหรับกลุ่มที่ไม่มีรายได้แน่นอน เช่น พ่อค้าแม่ค้า หรือฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน แต่ต้องมี บัญชีเดินเงินที่ดี หรือมีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารสม่ำเสมอ
ตัวอย่างสินเชื่อไม่เช็คบูโรที่น่าสนใจ
ชื่อสินเชื่อ | จุดเด่น | หมายเหตุ |
---|---|---|
FINNIX (ฟินนิกซ์) | ไม่เช็คเครดิตบูโร สมัครง่ายในแอป | สำหรับผู้มีรายได้ประจำและอาชีพอิสระ |
เงินทันเด้อ (Money Thunder) | สมัครผ่านแอป ไม่เช็คเครดิตบูโร | เน้นผู้มีบัญชีธนาคารที่เดินเงินสม่ำเสมอ |
LINE BK วงเงินให้ยืม | ใช้บัญชี LINE BK ขอวงเงินเสริมได้ | สำหรับคนมีรายได้ประจำและฟรีแลนซ์ |
ศรีสวัสดิ์ / เงินติดล้อ (รถแลกเงิน) | ใช้รถหรือมอเตอร์ไซค์เป็นหลักประกัน | ต้องมีรถปลอดภาระหรือมีทะเบียนรถครบถ้วน |
เมืองไทยแคปปิตอล (สินเชื่อรายย่อย) | ไม่เช็คบูโรในบางโปรแกรมสินเชื่อ | วงเงินไม่สูง แต่เข้าถึงง่ายในต่างจังหวัด |
หมายเหตุ: แม้จะไม่เช็คเครดิตบูโร แต่บางเจ้าอาจดูพฤติกรรมการเงิน เช่น รายได้เดินบัญชี การใช้เงินในชีวิตประจำวันแทน
วิธีแก้เครดิตเสีย / ฟื้นฟูเครดิตบูโร
นอกจากหาทางออกระยะสั้นด้วยสินเชื่อไม่เช็คบูโรแล้ว ควรเร่ง แก้ไขเครดิตเสีย เพื่อให้อนาคตขอกู้ธนาคารหรือสินเชื่อหลักได้ง่ายขึ้น
1. ปิดหนี้เก่าให้ครบถ้วน
- ชำระหนี้เก่าที่ค้างชำระ หรือหนี้ที่อยู่ในสถานะ NPL ให้ครบ
- ขอหนังสือรับรองปิดบัญชีจากเจ้าหนี้เดิม เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าเคลียร์หนี้แล้ว
2. เจรจาปรับโครงสร้างหนี้
- หากไม่สามารถชำระหนี้ก้อนใหญ่ได้ทันที ควรติดต่อธนาคารหรือเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ และทำสัญญาใหม่ เช่น ผ่อนเบา ๆ ระยะยาว เพื่อให้สถานะเครดิตกลับมาดีขึ้น
3. รอให้ประวัติเสียพ้น 36 เดือน
- ประวัติค้างชำระหรือเครดิตเสียจะค้างในระบบ เครดิตบูโรสูงสุด 36 เดือน หลังจากชำระหนี้ครบแล้ว
- เมื่อผ่าน 3 ปีและมีการผ่อนชำระตรงเวลาในช่วงใหม่ ข้อมูลเสียเดิมจะไม่แสดงในรายงานอีก
4. สร้างเครดิตใหม่
- หลังปิดหนี้เก่า ให้เริ่มสร้างเครดิตใหม่ด้วยสินเชื่อวงเงินเล็ก ๆ หรือบัตรเครดิตที่ผ่อนชำระได้ง่าย เช่น บัตรเครดิตที่มีวงเงินต่ำ หรือสินเชื่อสร้างเครดิต
- ต้องจ่ายตรงเวลาและใช้ไม่เกินวงเงินที่จำเป็น
ข้อควรระวังในการใช้ “สินเชื่อไม่เช็คบูโร”
-
ดอกเบี้ยสูงกว่าในระบบปกติ
- บางสินเชื่อ Non-Bank มีดอกเบี้ยสูงถึง 25-33% ต่อปี (สูงสุดตามกฎหมาย) ควรอ่านสัญญาและคำนวณภาระดอกเบี้ยให้รอบคอบ
-
ตรวจสอบแหล่งสินเชื่อให้ถูกกฎหมาย
- หลีกเลี่ยงสินเชื่อนอกระบบหรือแอปกู้นอกกฎหมายที่ไม่มีใบอนุญาต เพราะอาจเสี่ยงถูกเอาเปรียบและดอกเบี้ยแพงมาก
-
ไม่กู้ซ้อนหลายเจ้า
- หากมีประวัติเครดิตเสีย ไม่ควรรีบกู้หลายแหล่งพร้อมกัน ควรเลือกแหล่งที่เหมาะสมและวางแผนจ่ายให้ดี
สรุป
แม้คุณจะ ติดแบล็คลิส หรือมีประวัติค้างชำระในเครดิตบูโร แต่ยังมีทางออก เช่น สินเชื่อไม่เช็คบูโร หรือสินเชื่อที่มีหลักประกัน ที่ยังพอสามารถสมัครได้ในระหว่างฟื้นฟูเครดิต
แนวทางที่ดีที่สุด คือ ควรเร่งเคลียร์หนี้เก่าและเริ่มสร้างประวัติเครดิตใหม่อย่างมีวินัย เช่น จ่ายหนี้ตรงเวลา ไม่กู้เกินตัว และวางแผนทางการเงินให้รอบคอบ เพื่อในอนาคตจะได้กลับมาใช้สินเชื่อธนาคารหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้อย่างง่ายดาย