
ติดเครดิตบูโรแบบไหนถึงกู้ไม่ผ่าน?
หลายคนมักกังวลว่า “ติดเครดิตบูโร” จะทำให้กู้ไม่ผ่าน แต่นิยามคำว่า “ติดเครดิตบูโร” ในความเข้าใจทั่วไปอาจไม่ตรงกับหลักการจริง ๆ เสมอไป เนื่องจากหน่วยงาน “เครดิตบูโร” หรือ “บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ” มีหน้าที่จัดเก็บข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อของลูกค้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้อนุมัติหรือปฏิเสธสินเชื่อโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลเครดิตของผู้กู้ผ่านเครดิตบูโร พบว่าผู้กู้มีประวัติที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ก็เป็นเหตุผลให้สถาบันการเงินปฏิเสธการปล่อยกู้ได้ ซึ่งโดยทั่วไป ความเสี่ยงดังกล่าวจะสะท้อนผ่าน “สถานะบัญชี” และ “ประวัติการชำระเงิน” ของลูกค้าในรายงานเครดิตบูโรนั่นเอง
บทความนี้จะอธิบายว่า ติดเครดิตบูโรแบบไหนที่สถาบันการเงินมักพิจารณาว่าเสี่ยงสูงและอาจทำให้กู้ไม่ผ่าน รวมถึงแนวทางแก้ไขและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
1. เข้าใจคำว่า “ติดเครดิตบูโร” อย่างถูกต้อง
- ข้อมูลเครดิตมีทุกคน: ในประเทศไทย ประชาชนที่เคยสมัครบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน หรือแม้แต่สินเชื่อส่วนบุคคล จะมีประวัติถูกเก็บในระบบเครดิตบูโรทั้งหมด ตั้งแต่สถานะ “ปกติ” จนถึง “ค้างชำระ” เลยทีเดียว
- “ติดเครดิตบูโร” ไม่ได้แปลว่า “กู้ไม่ได้ทุกกรณี”: หลายคนเข้าใจคำว่า “ติดเครดิตบูโร” แล้วกังวลทันทีว่าจะกู้ไม่ผ่าน แต่ความจริงขึ้นอยู่กับสถานะบัญชีว่าเป็นหนี้เสีย (NPL) หรือค้างชำระอยู่หรือไม่ บางคนอาจมีสถานะค้างชำระเพียงเล็กน้อยในอดีตก็ยังมีโอกาสกู้ผ่านได้ หากสถานะปัจจุบันกลับมาปกติ
2. สถานะบัญชีแบบไหนที่สถาบันการเงินกังวล
ในรายงานเครดิตบูโรจะมีระบุ “สถานะบัญชี” และประวัติการชำระเงิน หากสถาบันการเงินเห็นว่าบัญชีเคยมีปัญหาเหล่านี้ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะปฏิเสธการกู้
-
ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPL) หรือตัดหนี้สูญ
- บัญชีที่มีการค้างชำระนานกว่า 90 วัน แสดงถึงปัญหาทางการเงินของลูกค้าอย่างชัดเจน สถาบันการเงินจะมองว่ามีความเสี่ยงสูงมาก
- บัญชีที่ถูกตัดหนี้สูญ (Write-off) คือบัญชีที่ลูกหนี้ไม่ได้ชำระต่อเนื่องจนธนาคารตัดสินใจไม่ติดตามทวงถามผ่านระบบปกติอีกแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณเสี่ยงสุด ๆ
-
ประวัติผิดนัดชำระซ้ำ ๆ
- แม้จะไม่ถึงขั้นค้างชำระเกิน 90 วัน แต่หากในประวัติเครดิตมี “เดือนที่จ่ายล่าช้า” เป็นจำนวนหลาย ๆ เดือนต่อเนื่อง หรือผิดนัดเป็นประจำ ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือในการผ่อนหนี้ลดลงอย่างมาก
- สถาบันการเงินจะตั้งคำถามถึงวินัยทางการเงินและความสามารถในการบริหารรายรับรายจ่ายของผู้กู้
-
อยู่ระหว่างการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้
- หากลูกหนี้เคยค้างชำระแล้วมาเจรจากับธนาคารเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ สถานะดังกล่าวจะปรากฏในรายงานเครดิตบูโร สถาบันการเงินมองว่าแม้จะกำลังแก้ไขหนี้อยู่ แต่ก็มีความเสี่ยงว่าจะเป็นหนี้เสียอีกในอนาคต
-
มีหลายบัญชีที่ยังค้างชำระพร้อม ๆ กัน
- ไม่ว่าจะค้างชำระหลักสิบวัน หรือเกิน 30 วัน แต่หากมีหลายบัญชีที่ค้างอยู่พร้อมกัน ก็ทำให้ภาพรวมความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ดูแย่ลง
3. ระยะเวลาบันทึกข้อมูลในเครดิตบูโร
- ข้อมูลประวัติการชำระหนี้จะถูกเก็บในระบบเครดิตบูโรสูงสุด 36 เดือน (3 ปี) นับย้อนหลังจากเดือนปัจจุบัน
- หากเคยเป็นหนี้เสีย (NPL) หรือมีสถานะค้างชำระรุนแรง แต่ต่อมาปิดหนี้แล้ว ก็ต้องรอให้ประวัติที่ไม่ดีดังกล่าว “เลื่อนพ้น” ช่วง 36 เดือน จึงจะค่อย ๆ หายไปจากรายงาน (หมายเหตุ: สถาบันการเงินบางแห่งอาจดูประวัติเกิน 36 เดือน หากมีข้อมูลภายในอื่น ๆ แต่เครดิตบูโรเก็บเป็นมาตรฐาน 36 เดือน)
- หากปิดบัญชีไปแล้ว ข้อมูลบัญชีจะไม่ถูกแสดงสถานะค้างชำระในปัจจุบัน แต่อาจมีการระบุว่าเคยเป็นหนี้เสียมาก่อน (แล้วปิดบัญชี) อยู่ในประวัติ
4. ติดเครดิตบูโรแบบไหนถึงกู้ไม่ผ่าน?
จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า สถานะที่สถาบันการเงิน “ไม่ชอบ” และมักปฏิเสธการกู้ คือ
-
บัญชีที่เป็น NPL (หนี้เสีย) อยู่ในปัจจุบัน
- ยังไม่มีการปิดหนี้หรือชำระหนี้ให้กลับสู่สถานะปกติ
-
บัญชีที่เคยตัดหนี้สูญ
- แม้ว่าปัจจุบันจะปิดบัญชีไปแล้ว แต่อาจถูกมองว่าเป็นประวัติเสียร้ายแรง สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะระมัดระวังอย่างมาก
-
ผิดนัดชำระซ้ำ ๆ หลายบัญชี พร้อมกัน
- แสดงถึงปัญหาสภาพคล่องและวินัยทางการเงิน
-
อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างหนี้
- แม้จะเป็นทางออกหนึ่ง แต่สถาบันการเงินใหม่ก็ยังมองว่าเป็นลูกหนี้ที่เคยมีปัญหา
5. แนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน
-
ปิดหนี้เสียให้เร็วที่สุด
- หากมีบัญชีที่ค้างชำระเกิน 90 วัน ควรเร่งเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปิดบัญชีหรือปรับโครงสร้างหนี้ให้เสร็จสิ้น และกลับมาจ่ายให้ตรงเวลา เพื่อปรับสถานะบัญชีให้ดีขึ้น
-
รักษาประวัติการชำระหนี้ปัจจุบันให้สะอาด
- พยายามจ่ายทุกบัญชีให้ตรงกำหนด ไม่สร้างหนี้เพิ่ม และไม่ค้างชำระเกิน 30 วันเป็นประจำ เพื่อแสดงถึงวินัยทางการเงินที่ดี
-
รอให้ประวัติเสียผ่านพ้น 36 เดือน
- หากเคยมีประวัติผิดนัดร้ายแรง เมื่อปิดบัญชีแล้ว อาจต้องอดทนรอให้ประวัติเสียเลื่อนพ้นเกณฑ์การบันทึกหรืออย่างน้อยให้ข้อมูลแย่ ๆ ลดน้อยลงไปแล้วค่อยยื่นกู้ใหม่
-
สร้างเครดิตใหม่ด้วยวงเงินเล็ก ๆ
- หากเคยมีปัญหาหนี้เสียแล้วปิดบัญชีไป ควรสร้างประวัติใหม่ เช่น การใช้บัตรเครดิตวงเงินไม่สูง หรือสินเชื่อที่ผ่อนชำระได้สบาย ๆ เพื่อโชว์ว่าตนเองสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่าเดิม
-
เพิ่มความแข็งแกร่งของเอกสารทางการเงิน
- จัดเตรียมหลักฐานรายได้ รายการเดินบัญชี (Statement) ที่มีรายรับคงที่และสม่ำเสมอ เพื่อยืนยันว่ามีความสามารถชำระหนี้ ไม่เหมือนในอดีต
สรุป
“การติดเครดิตบูโร” ไม่ได้เป็นคำตัดสินว่าจะกู้ไม่ผ่านเสมอไป ขึ้นอยู่กับสถานะบัญชีและประวัติการชำระเงินว่ามีปัญหาร้ายแรงหรือไม่ หากเพียงจ่ายล่าช้าบ้างเป็นบางครั้งและได้กลับมาจ่ายปกติเร็ว วันข้างหน้าก็ยังมีสิทธิ์ได้รับอนุมัติ
แต่หากประวัติแสดงถึงการค้างชำระนานเกิน 90 วัน (NPL) หรือถูกตัดหนี้สูญ ก็ต้องเร่งแก้ไขให้จบเสียก่อนด้วยการปิดบัญชีหรือปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีวินัยทางการเงินดีขึ้นแล้ว บวกกับใช้เวลาให้ประวัติเสียผ่านพ้นช่วงบันทึก 36 เดือนไปก่อน จึงจะมีโอกาสกลับมากู้ผ่านได้อีกครั้ง
สุดท้ายนี้ การไม่เป็นหนี้เกินตัวและชำระหนี้ทุกงวดตรงเวลายังเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการสร้างเครดิตทางการเงินที่ดี หากในรายงานเครดิตบูโรเห็นว่า “จ่ายตรง” สม่ำเสมอ สถาบันการเงินส่วนใหญ่ก็เต็มใจที่จะอนุมัติสินเชื่อหรือให้เงื่อนไขที่ดีกว่าเสมอ