
การเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Market หรือ Forex) เป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลที่ว่าตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามีสภาพคล่องสูง มีการซื้อขายต่อเนื่องเกือบตลอด 24 ชั่วโมง และเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลกำไรที่น่าสนใจจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate) ระหว่างสกุลเงินต่าง ๆ อย่างไรก็ดี การลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรนั้นมีความซับซ้อนและความเสี่ยงค่อนข้างสูง การที่จะประสบความสำเร็จจึงต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การเงินโลก ตลอดจนเทคนิคการวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนอย่างละเอียด
พื้นฐานการลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ความหมายและภาพรวมของตลาด Forex
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (Bank for International Settlements, 2022) ผู้เข้าร่วมในตลาดประกอบด้วยธนาคารกลาง (Central Bank) ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) สถาบันการเงิน (Financial Institution) กองทุนต่าง ๆ (Hedge Funds, Mutual Funds) และนักลงทุนรายย่อย (Retail Investor) ทั้งในรูปแบบบุคคลและบริษัท
กลไกการซื้อขาย
การซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศจะเกิดขึ้นบนคู่สกุลเงิน (Currency Pair) เช่น EUR/USD หมายถึง การเทียบอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างยูโรและดอลลาร์สหรัฐ หากเราคาดการณ์ว่าค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เราจะเปิดสถานะ “Buy EUR/USD” เพื่อหวังผลกำไรเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนของ EUR/USD สูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าคาดการณ์ว่า EUR/USD จะอ่อนค่าลง เราก็สามารถ “Sell EUR/USD” ได้ โดยหวังผลกำไรเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนปรับลงตามที่คาด
สภาพคล่องสูง
ความน่าสนใจของตลาดนี้ส่วนหนึ่งมาจากสภาพคล่องที่สูงมาก ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเปิด-ปิดสถานะได้รวดเร็วทันทีตามสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (จันทร์-ศุกร์) แต่อย่างไรก็ดี ควรคำนึงถึงช่วงเวลาที่มีความผันผวนของแต่ละคู่สกุลเงิน ซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหลัก ๆ ของโลกเปิดทำการ เช่น ตลาดลอนดอน ตลาดนิวยอร์ก และตลาดโตเกียว
เลเวอเรจ (Leverage)
หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ทำให้การลงทุนในตลาดเงินตราต่างประเทศน่าสนใจคือ เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถควบคุมปริมาณสัญญาที่ใหญ่กว่าเงินลงทุนจริงได้หลายเท่าตัว เช่น 1:50 หรือ 1:100 อย่างไรก็ตาม การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการขาดทุนรุนแรง ดังนั้น ก่อนใช้เลเวอเรจ ควรศึกษาให้ถี่ถ้วนถึงโอกาสและความเสี่ยง
สกุลเงินที่น่าสนใจในปี 2568

การคาดการณ์สกุลเงินที่ “มีอนาคต” หรือ “น่าสนใจ” ในปี 2568 ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomics) และปัจจัยเชิงโครงสร้างของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การเมือง การเงิน นโยบายการเงินของธนาคารกลาง และความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั่วโลก
ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลก แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาจมีความผันผวนสูงจากนโยบายดอกเบี้ยและนโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงปัจจัยเสถียรภาพทางการเมือง แต่เนื่องจาก USD เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ (Reserve Currency) การเปลี่ยนมือของดอลลาร์ในตลาดโลกยังถือว่าสูงมาก จึงมีโอกาสสร้างผลกำไรจากการเก็งกำไรได้ แต่ก็ต้องติดตามนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อย่างใกล้ชิด
ยูโร (EUR)
สกุลเงินยูโรเป็นสกุลเงินอันดับสองของโลก ในฐานะที่สหภาพยุโรปเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีการค้าขายสูง ปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลัก ๆ คือ แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) และประเด็นการรวมกลุ่มทางการเมืองที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
ปอนด์สหราชอาณาจักร (GBP)
แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ไปแล้ว แต่สกุลเงินปอนด์ (GBP) ยังเป็นสกุลเงินหลักที่มีมูลค่าการหมุนเวียนสูง ทิศทางค่าเงินปอนด์ได้รับอิทธิพลจากการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป และนโยบายธนาคารกลางอังกฤษ
เยนญี่ปุ่น (JPY)
เยนญี่ปุ่นถือเป็น “สกุลเงินปลอดภัย” (Safe Haven Currency) ตัวหนึ่ง เนื่องจากญี่ปุ่นมีเงินทุนสำรองต่างประเทศสูงและมีฐานผลิตอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง ในภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนหรือมีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนมักจะโยกเงินไปยังสกุลเงินเยน ทำให้ค่าเงินเยนอาจแข็งค่าขึ้นในช่วงวิกฤต
หยวนจีน (CNY)
หยวนจีนกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในฐานะสกุลเงินสากลและสกุลเงินที่รัฐบาลจีนกำลังผลักดันสู่ตลาดโลก อย่างไรก็ดี นโยบายทางการเงินและการควบคุมเงินทุนของรัฐบาลจีนยังคงมีลักษณะปิดกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้นักลงทุนต้องติดตามนโยบายอย่างใกล้ชิด การเปิดเสรีในอนาคตอาจทำให้หยวนจีนมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินโลก
สกุลเงินอื่น ๆ
นอกจากสกุลเงินหลัก ๆ ข้างต้นแล้ว อาจมีสกุลเงินอื่นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) และฟรังก์สวิส (CHF) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดสินค้าพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Currencies) หรือเป็น “สกุลเงินหลบภัย” (Safe Haven) ในบางช่วงเวลา
เทคนิคการลงทุนและการวิเคราะห์เงินตราต่างประเทศ

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมุ่งพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก เช่น
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ หากประเทศใดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มักจะดึงดูดเงินทุนเข้า ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น (Mishkin, 2019)
- ตัวเลขเศรษฐกิจ: เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate), อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจ
- นโยบายของธนาคารกลาง: การออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (Quantitative Easing) หรือการถอนมาตรการเหล่านี้ (Tapering) ย่อมส่งผลต่อค่าเงิน
- สถานการณ์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์: ความไม่แน่นอนทางการเมือง สงคราม การเลือกตั้ง และความขัดแย้งในภูมิภาคล้วนมีผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์เชิงเทคนิคเป็นการใช้กราฟราคา เครื่องมือทางสถิติ และอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ในการคาดการณ์แนวโน้มของราคา เช่น Moving Average, Relative Strength Index (RSI), MACD, Bollinger Bands ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีการพิจารณาแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เพื่อวางแผนการเข้าซื้อขาย การวิเคราะห์เทคนิคเป็นที่นิยมมากในตลาด Forex เนื่องจากราคามีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา และยังสามารถใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (Automated Trading System) หรือหุ่นยนต์เทรด (Expert Advisor) เพื่อช่วยวิเคราะห์สัญญาณซื้อ-ขายได้
การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอ
แม้ว่าการซื้อขายสกุลเงินอาจจะเน้นการทำกำไรระยะสั้น แต่การมองในภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอทั้งหุ้น พันธบัตร ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงสกุลเงินต่าง ๆ จะช่วยกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เรียกว่า Asset Allocation (Elton & Gruber, 2019)
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในเงินตราต่างประเทศ
ข้อดี
- สภาพคล่องสูง: นักลงทุนสามารถซื้อขายได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิดตายเหมือนตลาดหุ้นทั่วไป
- โอกาสสร้างผลกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง: สามารถทำกำไรเมื่อค่าเงินแข็งค่าหรืออ่อนค่าผ่านการเปิดสถานะ Long (Buy) หรือ Short (Sell)
- เลเวอเรจช่วยขยายโอกาส: ทำให้ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สามารถควบคุมสัญญาที่ใหญ่ได้
- กระจายการลงทุน: การถือสกุลเงินที่หลากหลายช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวม
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงสูงจากเลเวอเรจ: การใช้เลเวอเรจอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรง เมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหวในทางตรงข้าม
- ความผันผวนสูง: ตลาดเงินตราต่างประเทศมีความผันผวนจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ
- ต้องการความรู้เชิงลึก: นักลงทุนต้องเข้าใจทั้งการวิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิค ตลอดจนการจัดการอารมณ์และความเสี่ยง
- ค่าธรรมเนียมและสเปรด: แม้ว่าตลาด Forex จะไม่มีค่าคอมมิชชั่นเหมือนการซื้อขายหุ้น แต่โบรกเกอร์มักมีส่วนต่างราคา (Spread) ซึ่งอาจเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นในช่วงตลาดผันผวน
ความเสี่ยงและการบริหารความเสี่ยง
ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk)
ค่าเงินอาจผันผวนอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การประกาศนโยบายดอกเบี้ยที่เซอร์ไพรส์ตลาด การเกิดวิกฤตการเงินในประเทศใหญ่ หรือความรุนแรงทางการเมือง การบริหารความเสี่ยงจึงต้องใช้เครื่องมือเช่น Stop-Loss (การตั้งจุดตัดขาดทุน), Take Profit (ตั้งจุดทำกำไร), Hedging (ป้องกันความเสี่ยงด้วยการเปิดสถานะตรงข้ามในสกุลเงินอื่น)
ความเสี่ยงด้านเลเวอเรจ (Leverage Risk)
เลเวอเรจยิ่งสูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง หากตลาดวิ่งผิดทาง เราอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดภายในเวลาอันสั้น ดังนั้น ผู้ลงทุนควรเลือกอัตราเลเวอเรจที่เหมาะสมกับขนาดทุน และยอมรับความเสี่ยงได้
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
แม้ว่าตลาด Forex จะมีสภาพคล่องสูง แต่หากผู้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินที่ไม่เป็นที่นิยม หรือทำการเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดปิดของคู่สกุลเงินนั้น ๆ อาจเกิดสเปรดกว้าง ทำให้ต้นทุนเพิ่ม
ความเสี่ยงด้านโบรกเกอร์ (Broker Risk)
การเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับหลัก (เช่น หน่วยงานอย่าง FCA, ASIC, CySEC) อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเงินทุน
รีวิวจากผู้ลงทุนจริง
ในการเขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้ทำการสัมภาษณ์และรวบรวมความคิดเห็นจากนักลงทุนชาวไทยที่มีประสบการณ์จริงในตลาด Forex และการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศดังตัวอย่างต่อไปนี้
-
คุณณรงค์ชัย (นักลงทุนประสบการณ์ 5 ปี)
- “ตอนเริ่มต้นเทรด ผมสนใจแค่จังหวะและคิดว่าเป็นการเสี่ยงโชค แต่เมื่อพอร์ตเริ่มขาดทุนก้อนใหญ่ ผมเลยเริ่มศึกษาเชิงลึก ติดตามข่าวเศรษฐกิจ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ควบคู่ไปกับเทคนิค ทำให้เริ่มเห็นภาพรวมชัดขึ้น และวางแผนได้ดีขึ้น”
- คุณณรงค์ชัยเน้นทำกำไรกับคู่เงิน EUR/USD, GBP/USD และ USD/JPY โดยแบ่งเงินบางส่วนถือเป็นสกุลเงินสำคัญ เช่น USD และ EUR ไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง
-
คุณมยุรี (นักลงทุนผู้เน้นเทคนิคเป็นหลัก)
- “ฉันชอบดูกราฟ และตั้งอินดิเคเตอร์หลายตัวเพื่อยืนยันสัญญาณ ไม่ค่อยสนใจข่าวใหญ่ เว้นแต่จะมีประกาศสำคัญจริง ๆ ก็จะหยุดเทรดชั่วคราว”
- คุณมยุรีชี้แนะว่าการใช้เลเวอเรจสูงเกินไปมักทำให้พอร์ตผันผวนมาก จึงรักษาระดับเลเวอเรจไว้ที่ 1:50 ไม่เกินนี้
-
คุณวศิน (นักลงทุนที่ถือสกุลเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยง)
- “ผมทำธุรกิจส่งออก จึงต้องรับเงินต่างประเทศอยู่แล้ว การถือสกุลเงินแต่ละสกุลไว้บางส่วน เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาทของไทยอ่อนหรือแข็งค่าเร็วเกินไป”
- คุณวศินแนะนำว่าควรติดตามนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควบคู่กับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เพื่อตัดสินใจว่าควรแลกเงินบาทไปเป็นสกุลอื่นช่วงไหน
ประสบการณ์จริงของนักลงทุนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การเก็งกำไรในตลาดเงินตราต่างประเทศมีหลายแนวทาง และต่างก็ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และการวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบุคลิกในการลงทุนของแต่ละคน
ขั้นตอนการเริ่มลงทุน

ศึกษาพื้นฐานและฝึกฝน
- ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน: ติดตามข่าวเศรษฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางประเทศสำคัญอื่น ๆ
- เรียนรู้การวิเคราะห์เทคนิค: อ่านกราฟเป็น รู้จักใช้ Indicators ขั้นพื้นฐาน เช่น Moving Average, RSI, Stochastic, Bollinger Bands
- ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account): ฝึกซ้อมก่อนลงสนามจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเครื่องมือ และเรียนรู้การจัดการอารมณ์
เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
- การกำกับดูแล: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานทางการเงินระดับสากล (เช่น FCA, ASIC, CySEC) หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน
- ค่าใช้จ่าย: พิจารณาส่วนต่างราคา (Spread) ค่า Swap (ดอกเบี้ยข้ามคืน) และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
- แพลตฟอร์มการเทรด: ต้องใช้งานง่าย เสถียร มีเครื่องมือและข้อมูลข่าวสารครบถ้วน เช่น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5
วางแผนบริหารความเสี่ยง
- กำหนดวงเงินลงทุน: ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาเสี่ยงในตลาดเดียว ให้กระจายไปยังสินทรัพย์อื่นด้วย
- วาง Stop-Loss: กำหนดจุดขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ตั้งแต่ก่อนเปิดสถานะ
- Take Profit: วางแผนทำกำไรอย่างเป็นระบบ เพื่อหลีกเลี่ยงการไม่ตัดกำไรเมื่อราคาถึงเป้าหมายแล้ว
เริ่มต้นเทรดด้วยทุนที่เหมาะสม
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มเทรดด้วยเงินจำนวนไม่มาก เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจนเกินกว่าจะรับได้ หรืออาจใช้บัญชี Micro, Mini เพื่อฝึกทักษะก่อนขยับขยายไปสู่บัญชี Standard
ทางเลือกการลงทุนอื่นที่น่าสนใจ
นอกจากการเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว ยังมีทางเลือกการลงทุนอื่นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ อาทิ
- ตราสารทุน (Equities): การลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) หรือตลาดหุ้นต่างประเทศ เพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างราคาและเงินปันผล (Dividends)
- พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds): มีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นและ Forex ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคงที่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้แน่นอนและยอมรับผลตอบแทนต่ำกว่า
- ตราสารหนี้เอกชน (Corporate Bonds): ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเล็กน้อย แต่ต้องพิจารณาความเสี่ยงของบริษัทผู้ออกตราสาร
- ทองคำ (Gold): ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน เหมาะสำหรับสะสมในระยะยาว
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างกระแสเงินสดจากค่าเช่า และมูลค่าเพิ่มเมื่อระยะยาว แต่ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง
- กองทุนรวม (Mutual Funds): มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารเงินให้ กระจายความเสี่ยงในหลายหลักทรัพย์ตามนโยบายของกองทุน
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Funds): ส่วนใหญ่ลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ทางด่วน ไฟฟ้า ประปา สนามบิน ซึ่งมักให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ (Risk Tolerance) รวมถึงเป้าหมายการลงทุนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
แนวโน้มและภาพรวมการลงทุนสกุลเงินต่างประเทศในปี 2568
ในปี 2568 ปัจจัยที่สำคัญจะยังคงมาจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศใหญ่ ๆ อย่าง สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจโลกหลังการฟื้นตัวจากสถานการณ์ต่าง ๆ ในช่วงก่อนหน้า (เช่น การแพร่ระบาดโควิด-19 และวิกฤตพลังงานหรือ Supply Chain) นักลงทุนในประเทศไทยซึ่งต้องการเก็งกำไรด้วยการซื้อเงินต่างประเทศควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่อไปนี้
- การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (Fed, ECB, BoE, BoJ, PBoC และธปท.)
- ความผันผวนทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
- แนวโน้มการเติบโตของจีดีพีและอัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศ
- เครื่องมือวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
- มาตรการความปลอดภัยในการเลือกโบรกเกอร์
- การกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น
แหล่งอ้างอิง (References)
- Bank for International Settlements. (2022). Triennial Central Bank Survey of Foreign Exchange and Over-the-counter (OTC) derivatives markets in 2022. Basel: BIS.
- Bodie, Z., Kane, A., & Marcus, A. J. (2018). Investments (11th ed.). McGraw-Hill Education.
- Elton, E. J., & Gruber, M. J. (2019). Modern Portfolio Theory and Investment Analysis (10th ed.). John Wiley & Sons.
- Mishkin, F. S. (2019). The Economics of Money, Banking, and Financial Markets (12th ed.). Pearson Education.
- Bank of Thailand. (2564). “แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินในอนาคต.” สืบค้นจาก www.bot.or.th (เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2564)
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2565). “นโยบายควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและการส่งเสริมระบบการเงินไทย.” เอกสารเผยแพร่ภายในองค์กร.
(
บทส่งท้าย
การลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรในปี 2568 ยังมีโอกาสและศักยภาพสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจในกลไกของตลาด และรับความเสี่ยงได้สูงพอสมควร การสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึก ทั้งจากปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค และการติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างสม่ำเสมอ การฝึกฝนทักษะในการวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ซื้อ-ขาย และบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้การเลือกสกุลเงินใดในการเก็งกำไรก็ขึ้นอยู่กับกระแสเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มของสกุลเงินนั้น ๆ ในช่วงเวลานั้น ไม่ใช่สกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งที่จะ “ดีที่สุด” เสมอไป
ผู้ลงทุนควรเตรียมความพร้อมด้วยการกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน กำหนดวงเงินที่สามารถรับความเสียหายได้ ศึกษานโยบายการเงินและสถานการณ์โลกในปัจจุบัน รวมถึงทำความเข้าใจเครื่องมือและเทคนิคในการซื้อขายอย่างละเอียด เพื่อจะได้กำหนดจังหวะการเข้า-ออกตลาดอย่างมีเหตุผล มีการวาง Stop-Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสม และไม่ลืมที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังการลงทุนประเภทอื่น เพื่อป้องกันผลกระทบกรณีที่ตลาดเงินตราต่างประเทศเกิดความผันผวนรุนแรง
ตลาด Forex และการลงทุนในค่าเงินต่างประเทศไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาอย่างเพียงพอ รู้จักประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างสมดุล ก็มีโอกาสที่จะแสวงหาผลกำไรได้ ในขณะเดียวกันก็ควรคำนึงถึงความรอบคอบและความเสี่ยงเป็นสำคัญ เพราะการตัดสินใจที่ปราศจากข้อมูลหรือการไล่ซื้อ-ขายตามอารมณ์ในช่วงตลาดผันผวน ย่อมนำไปสู่การขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้