
โครงการ “คนละครึ่ง” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของประเทศไทยตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะถูกนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากเคยสร้างปรากฏการณ์ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งหลายคนยังจำได้ดีว่าเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาค่าครองชีพและปลุกกระแสการจับจ่ายของคนไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19
การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการคัดลอกแบบเดิม แต่ยังมีการปรับปรุงเงื่อนไขให้เข้ากับบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน ทั้งการขยายวงเงิน การเพิ่มสิทธิพิเศษแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี และการเปิดโอกาสให้ร้านค้ารายย่อยในรูปแบบนิติบุคคลขนาดเล็กเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้โครงการไม่ได้เป็นเพียงการกระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงกับการสร้างวินัยทางการเงินและระบบภาษีของประเทศ
บทเรียนจาก “คนละครึ่ง” ยุคประยุทธ์
เมื่อพูดถึง “คนละครึ่ง” หลายคนยังจำภาพการแห่ลงทะเบียน การแย่งสิทธิ์ และการใช้แอปเป๋าตังค์ซื้อของจากร้านค้าหาบเร่แผงลอยจนคึกคักไปทั่วประเทศ มาตรการนี้ถูกออกแบบให้รัฐจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าสินค้าและบริการที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการจำกัดวงเงินต่อวันเพื่อกระจายการใช้จ่ายให้ทั่วถึง
โครงการนี้กินระยะเวลาถึง 5 เฟส ใช้งบประมาณกว่า 3.4 แสนล้านบาท มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 30 ล้านคน และร้านค้าร่วมโครงการกว่า 1.5 ล้านราย ถือเป็นการทำให้ร้านค้ารายเล็กที่ไม่เคยคิดจะเข้าระบบดิจิทัลต้องหันมาใช้แอปพลิเคชัน และเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสามารถผลักดันระบบ e-Payment เข้าสู่คนไทยระดับรากหญ้าอย่างจริงจัง
“คนละครึ่ง” เวอร์ชันอนุทิน
รัฐบาลอนุทินมองว่า หากจะนำมาตรการนี้กลับมาใช้ จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจใหม่ ไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วใช้จ่ายจบไปวันต่อวัน แต่ต้องมีส่วนในการเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนขึ้น นั่นคือการจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษี
แนวคิดใหม่จึงปรับสัดส่วนการสมทบ โดยประชาชนทั่วไปยังคงได้สิทธิ์ 50:50 เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นผู้ที่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ไม่ว่าจะถึงเกณฑ์เสียภาษีหรือไม่ก็ตาม) จะได้สิทธิ์มากกว่า คือ 60:40 หมายความว่ารัฐบาลช่วยจ่ายถึง 60% ของยอดซื้อ ซึ่งถือเป็นการ “ให้รางวัล” กับคนที่อยู่ในระบบภาษี
อีกจุดสำคัญคือการเพิ่มวงเงินจากเดิมวันละ 150 บาท เป็น 200 บาทต่อวัน ทำให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่มากขึ้น โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณเริ่มต้นราว 22,000 ล้านบาท และยังคงใช้ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” เช่นเดิม
ความแตกต่างที่อาจเปลี่ยนเกม
ความต่างที่ชัดเจนระหว่าง “คนละครึ่ง” สองยุคคือ ยุคแรกมุ่งเน้นการกระตุ้นกำลังซื้อในวิกฤตโควิด ขณะที่ยุคอนุทินเน้นการ “สร้างฐานข้อมูลประชาชนในระบบภาษี” เพราะที่ผ่านมามีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่นอกระบบ ไม่เคยยื่นภาษีแม้จะมีรายได้ โครงการนี้จึงกลายเป็นทั้งเครื่องมือเศรษฐกิจและเครื่องมือภาษีในเวลาเดียวกัน
การเปิดให้ร้านค้านิติบุคคลขนาดเล็ก (รายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี) เข้าร่วม ก็สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะดึงธุรกิจขนาดเล็กเข้าสู่ระบบมากขึ้น แตกต่างจากเดิมที่เน้นร้านรายย่อยแบบไม่ต้องจดทะเบียนภาษี
ทำไมรัฐบาลเลือกปล่อยโครงการในช่วงนี้
รัฐบาลอนุทินเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ 4 เดือนแรก ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องการสร้างความมั่นใจและผลงานรูปธรรมให้ประชาชนเห็น โครงการคนละครึ่งจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นมาตรการเร่งด่วน เพราะพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผล ทั้งในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจและความนิยมทางการเมือง
นอกจากนี้ การปล่อยโครงการในช่วงปลายเดือนตุลาคมก็สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายปลายปี ซึ่งคนไทยมักมีการใช้จ่ายสูง ทั้งการท่องเที่ยว ของขวัญ และเทศกาลต่าง ๆ รัฐบาลจึงได้อานิสงส์ทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองในคราวเดียว
วิธีลงทะเบียนและการใช้สิทธิ์
สำหรับคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ที่กำหนด กรอกข้อมูล ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ ดาวน์โหลดและยืนยันตัวตนในแอปเป๋าตังค์ จากนั้นกดรับสิทธิ์ใน Gwallet ขณะที่ผู้ที่เคยเข้าร่วมมาก่อนสามารถกดรับสิทธิ์ได้ทันทีผ่านแอป
แม้ขั้นตอนจะไม่ซับซ้อน แต่ก็ยังมีเสียงกังวลว่าอาจเกิดปัญหาความหนาแน่นของระบบในวันแรก ๆ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งรัฐบาลเองก็ต้องเตรียมมาตรการสำรองไว้
คำถามยอดฮิตจาก Google เกี่ยวกับ “คนละครึ่ง”
ถาม: คนละครึ่งใช้ซื้ออะไรได้บ้าง?
ตอบ: ใช้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ของใช้จำเป็นได้ แต่ห้ามใช้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และลอตเตอรี่
ถาม: ต้องเสียภาษีไหมถ้าเข้าร่วมโครงการ?
ตอบ: การใช้สิทธิ์ไม่ทำให้เสียภาษีเพิ่มโดยตรง แต่หากร้านค้าที่เข้าร่วมเป็นนิติบุคคลหรือผู้ประกอบการที่มีรายได้สูง รัฐอาจตรวจสอบการเสียภาษีมากขึ้น
ถาม: คนละครึ่งใช้ได้ทุกจังหวัดหรือไม่?
ตอบ: ใช้ได้ทั่วประเทศ ขอเพียงร้านค้าที่เข้าร่วมเปิดรับสิทธิ์ผ่านแอป
ถาม: ถ้าไม่เคยยื่นภาษีจะเสียสิทธิ์ไหม?
ตอบ: ไม่เสียสิทธิ์ แต่จะได้อัตรา 50:50 เท่านั้น ส่วนคนที่เคยยื่นภาษีจะได้ 60:40
ถาม: ใช้สิทธิ์วันละกี่บาท?
ตอบ: สูงสุดวันละ 200 บาท ตามเงื่อนไขใหม่ของรัฐบาลอนุทิน
มองไปข้างหน้า
คำถามสำคัญคือ โครงการนี้จะเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว หรือจะกลายเป็นเครื่องมือเศรษฐกิจถาวรเหมือนโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ในอดีต นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่าการแจกเงินลักษณะนี้แม้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่หากใช้บ่อยครั้งอาจกลายเป็นภาระการคลัง ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็มองว่าเป็น “นโยบายหาเสียง” ที่จับต้องได้
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถใช้ “คนละครึ่ง” เป็นแรงจูงใจให้คนไทยเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น และสร้างฐานข้อมูลเศรษฐกิจดิจิทัลได้สำเร็จ ก็อาจทำให้โครงการนี้มีผลเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ไม่ใช่แค่การกระตุ้นชั่วครั้งคราว
“คนละครึ่ง” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการช่วยแบ่งเบาค่าครองชีพ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน รัฐบาล และระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย การกลับมาในยุคของนายกอนุทินจึงไม่ใช่การก็อปปี้ แต่เป็นการพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างผลลัพธ์ใหม่ ๆ ทั้งในด้านการจับจ่ายและการจัดเก็บภาษี
สิ่งที่ต้องติดตามคือ ประชาชนจะตอบรับโครงการนี้มากน้อยเพียงใด ร้านค้าจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเหมือนเดิมหรือไม่ และท้ายที่สุด รัฐบาลจะใช้ “คนละครึ่ง” เป็นเพียงเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว หรือจะยกระดับให้เป็นโครงการถาวรที่อยู่คู่กับสังคมไทย