
การมี “บ้าน” สักหลังถือเป็นความฝันของใครหลายคน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจและราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับสูงขึ้นในทุก ๆ ปี การซื้อบ้านด้วยเงินสดก้อนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สินเชื่อบ้านจากสถาบันการเงินจึงเป็นทางออกหลักสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ในปี 2568 ภาพรวมตลาดบ้านยังคงมีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อม ๆ กับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวราบหรือตึกสูง ในขณะเดียวกัน หลายคนก็เริ่มวางแผนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุนระยะยาว
การสมัครสินเชื่อบ้าน: ขั้นตอนและหลักเกณฑ์สำคัญ
การขอสินเชื่อบ้าน (Mortgage Loan) คือการยื่นกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด โดยมีตัวบ้าน/คอนโดนั้นเป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขจะขึ้นอยู่กับโปรโมชันของธนาคาร และความเสี่ยงของผู้กู้ ทั้งนี้ มีขั้นตอนและปัจจัยสำคัญที่ควรทราบ ดังนี้
1.1 ขั้นตอนการสมัครสินเชื่อบ้านโดยทั่วไป
-
ประเมินความสามารถในการผ่อน
- ก่อนยื่นกู้ ควรคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายต่อเดือน รวมถึงประเมินภาระหนี้สินอื่น ๆ หากมี เช่น ค่างวดรถ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ
- ส่วนใหญ่ธนาคารจะประเมินว่าสามารถผ่อนชำระได้ “ไม่เกิน 40% ของรายได้สุทธิต่อเดือน” (ตัวเลขโดยประมาณขึ้นอยู่กับธนาคาร)
-
เลือกโครงการหรือบ้านที่ต้องการ
- เมื่อแน่ใจว่าตนเองมีความสามารถในการผ่อน ก็ต้องตัดสินใจเลือกบ้านหรือคอนโดเป้าหมาย ตรวจสอบราคา ทำเล สภาพแวดล้อม รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจตามมา (เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าประกันอัคคีภัย)
-
เตรียมเอกสารเพื่อยื่นกู้
- บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง (Statement) และเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์ที่ต้องการซื้อ ฯลฯ
- รายละเอียดดูได้ในหัวข้อ “การเตรียมเอกสาร” ซึ่งจะกล่าวต่อไป
-
ธนาคารประเมินคุณสมบัติและหลักประกัน
- เมื่อยื่นเรื่อง ธนาคารจะตรวจสอบประวัติทางการเงินหรือ “เครดิตบูโร” ของผู้กู้ เช็กประวัติค้างชำระ ประเมินระดับความเสี่ยง และส่งทีมประเมินราคาทรัพย์สิน (บ้าน/คอนโด) ว่ามีมูลค่าเพียงพอกับวงเงินกู้หรือไม่
-
อนุมัติวงเงินและเงื่อนไข
- ถ้าคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ ธนาคารจะแจ้งผลการอนุมัติพร้อมวงเงิน ระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ย หากผู้กู้พอใจและรับเงื่อนไข ก็จะนัดทำสัญญากู้และจำนองที่สำนักงานที่ดิน
-
การโอนบ้านและจดจำนอง
- ธนาคารจะโอนเงินกู้เพื่อชำระค่าบ้านให้ผู้ขาย พร้อมกับจดจำนองบ้าน/คอนโดไว้เป็นหลักประกัน
1.2 ปัจจัยหลักที่ธนาคารพิจารณา
- รายได้และความมั่นคงในการทำงาน: ยิ่งเป็นงานประจำหรืออาชีพที่มีรายได้สม่ำเสมอ ก็จะมีโอกาสผ่านมากขึ้น
- เครดิตบูโร: ประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง ถ้าเคยติดแบล็กลิสต์หรือค้างชำระบ่อย ๆ อาจถูกปฏิเสธ
- วงเงินและอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt Service Ratio): หากมีหนี้สินมากเกินไป ธนาคารอาจอนุมัติวงเงินน้อยลงหรือปฏิเสธ
- อายุผู้กู้: ธนาคารมักกำหนดอายุผู้กู้ไม่เกิน 60-65 ปี เมื่อสิ้นสุดระยะผ่อน เช่น ถ้าอายุ 45 ปี อาจผ่อนได้ไม่เกิน 15-20 ปี
2. การเตรียมเอกสารเพื่อสมัครกู้บ้านให้ผ่านฉลุย
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การสมัครสินเชื่อบ้านล่าช้าหรือถูกปฏิเสธ คือ “เอกสารไม่ครบ” หรือ “ข้อมูลไม่ชัดเจน” ดังนั้น ควรเตรียมเอกสารอย่างครบถ้วนและเป็นปัจจุบันที่สุด
2.1 เอกสารประจำตัว
- บัตรประชาชน (ตัวจริง + สำเนา)
- ทะเบียนบ้าน (สำเนาทุกหน้าที่ปรากฏเลขที่บ้านและชื่อผู้กู้)
2.2 เอกสารทางการเงิน
- สลิปเงินเดือน/หนังสือรับรองเงินเดือน
- ส่วนใหญ่ธนาคารจะขอ “สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน” หรือ “หนังสือรับรองเงินเดือน (ระบุรายได้ต่อเดือนและวันที่เริ่มงาน)”
- Statement บัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
- เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวของรายได้และค่าใช้จ่าย
- หากมีหลายบัญชี ควรนำบัญชีหลักที่ใช้เป็นประจำ
- หลักฐานรายได้อื่น ๆ (ถ้ามี)
- เช่น ค่าคอมมิชชัน (Commission), ค่าเช่า, รายได้จากธุรกิจ ฯลฯ
2.3 เอกสารทรัพย์ที่จะซื้อ
- สำเนาโฉนดที่ดิน (กรณีบ้านเดี่ยว/ทาวน์เฮาส์) หรือ หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (กรณีคอนโด)
- ควรเป็นเอกสารที่ชัดเจนและมีการระบุเลขที่โฉนดตรงกับทรัพย์ที่สนใจ
- สัญญาจะซื้อจะขาย หรือ สัญญามัดจำ
- เป็นหลักฐานว่าผู้กู้มีการวางเงินมัดจำแล้ว เพื่อจองบ้านหรือคอนโด
- แผนผัง/เอกสารเพิ่มเติม (ถ้ามี)
- สำหรับโครงการใหม่ อาจมีเอกสารโครงการเพื่อให้ธนาคารทราบรายละเอียด
2.4 เอกสารอื่น ๆ ที่อาจจำเป็น
- ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล)
- ทะเบียนสมรส / ทะเบียนหย่า (กรณีคู่สมรสหรือผู้ร่วมกู้)
- หนังสือรับรองบริษัท / ใบทะเบียนการค้า (สำหรับเจ้าของกิจการ)
เคล็ดลับ: จัดทำแฟ้มเอกสารแยกเป็นหมวดหมู่ เตรียมสำเนาและรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมเซ็นชื่อกำกับอย่างชัดเจนทุกหน้า เพื่อให้ธนาคารพิจารณาได้ง่ายขึ้น

3. การสร้างเครดิตที่ดี: กุญแจสู่การอนุมัติ
3.1 เข้าใจระบบเครดิตบูโร
“เครดิตบูโร” หรือ “บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ” ทำหน้าที่จัดเก็บประวัติการชำระหนี้ของประชาชน เมื่อคุณสมัครสินเชื่อบ้าน ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลจากเครดิตบูโรเพื่อประเมินความเสี่ยง หากมีประวัติค้างชำระบ่อยครั้ง หรือเคยเป็นหนี้เสีย (NPL) โอกาสกู้ผ่านจะลดลงอย่างมาก
3.2 วิธีเสริมสร้างประวัติทางการเงินที่ดี
- จ่ายหนี้ตรงเวลา
- ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล หรือค่าผ่อนสินค้า ควรจ่ายเต็มจำนวนและตรงเวลาก่อนวันครบกำหนด
- รักษาอัตราการใช้สินเชื่อ
- ถ้าใช้บัตรเครดิต ควรรักษาอัตราส่วน “ยอดใช้ต่อวงเงิน” ไม่ให้สูงเกินไป เช่น ใช้ไม่เกิน 30-50% ของวงเงิน
- มีบัญชีเดินรายได้สม่ำเสมอ
- แม้จะทำงานอิสระ ควรใช้บัญชีธนาคารเป็นที่รับรายได้ทั้งหมด เพื่อแสดงกระแสเงินสด
- หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้หลายทางพร้อมกัน
- การมีหนี้หลายก้อนอาจทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนไม่สอดคล้องกับรายได้ ธนาคารจะมองว่ามีความเสี่ยงสูง
3.3 เคล็ดลับเพิ่มเติม
- หากมีแผนจะกู้บ้านในปีสองปีข้างหน้า ควรรักษาเครดิตให้ดีที่สุดล่วงหน้า 6-12 เดือน
- ตรวจสอบเครดิตบูโรของตนเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลเป็นปัจจุบันและไม่มีข้อผิดพลาด
4. แนวโน้มตลาดบ้านปี 2568: ภาพรวมและปัจจัยที่ควรรู้
การวางแผนซื้อบ้านอย่างเหมาะสมควรคำนึงถึง “แนวโน้มตลาด” ในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย ซึ่งในปี 2568 ตลาดบ้านและคอนโดในไทยมีแนวโน้มดังนี้
4.1 ภาพรวมเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์
-
อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มผันผวน
- ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจปรับขึ้น-ลงตามภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป
- ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านของสถาบันการเงิน
-
ราคาอสังหาฯ อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น
- ต้นทุนก่อสร้างและที่ดินที่สูงขึ้นทำให้ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้นเล็กน้อย
- แต่อาจมีโปรโมชันหรือส่วนลดพิเศษสำหรับโครงการที่ต้องการระบายสต็อก
-
กำลังซื้อจากผู้บริโภคในประเทศฟื้นตัว
- หลังช่วงโควิด-19 ผ่านไป ภาคการท่องเที่ยวและบริการฟื้นตัว ทำให้รายได้และจ้างงานกลับมาดีขึ้น
- กลุ่มคนวัยทำงานรุ่นใหม่มีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้าหรือย่านธุรกิจ
4.2 ทำเลและประเภทบ้านที่มาแรง
-
ทำเลแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
- ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ทำเลติดรถไฟฟ้ามักเติบโตโดดเด่น
- คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าเป็นที่ต้องการทั้งซื้อลงทุนและอยู่อาศัยจริง
-
บ้านแนวราบชานเมือง
- แนวราบ (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์) พัฒนามากขึ้นในโซนชานเมืองที่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก
- ราคายังพอจับต้องได้เมื่อเทียบกับคอนโดในเมือง
-
ตลาดบ้านมือสอง
- ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะราคาย่อมเยากว่าบ้านใหม่ มีตัวเลือกในทำเลดี ๆ ที่หาไม่ได้ในโครงการใหม่
- ผู้ซื้อควรตรวจสอบสภาพบ้านให้ดีก่อนตัดสินใจ
4.3 สิ่งที่ต้องระวังในปี 2568
- ภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพ
- หากอัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง อาจกดดันรายได้และความสามารถในการผ่อน
- แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น/ลง
- ควรติดตามข่าวสารนโยบายดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อ “ดอกเบี้ยลอยตัว (MRR, MLR)” ที่จะกระทบค่างวดระยะยาว
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมแซม ค่าส่วนกลาง หรือภาษีที่เกี่ยวข้อง อาจเพิ่มภาระให้ผู้ซื้อมากกว่าที่คาด

5. กู้เงินซื้อบ้านธนาคารไหนดี? แนะนำ 5 สินเชื่อบ้านเด่นประจำปี 2568
ในส่วนนี้จะนำเสนอสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจจาก 5 ธนาคาร ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยมและมีโปรโมชันหลากหลายในตลาด โดยจะกล่าวถึงเงื่อนไขทั่วไป ข้อดี และข้อควรพิจารณา (ข้อเสีย) ของแต่ละแห่ง เพื่อให้ผู้อ่านใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบ
5.1 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
ภาพรวม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (Government Housing Bank – GHB) เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มุ่งสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยมีบ้านเป็นของตนเอง สินเชื่อบ้านของ ธอส. มักมีเงื่อนไขจูงใจ ดอกเบี้ยต่ำพิเศษในช่วงปีแรก ๆ และมีโครงการสินเชื่อเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้สูงอายุ
เงื่อนไขหลัก
- ปล่อยกู้สำหรับซื้อที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด หรือแม้แต่สร้างต่อเติมซ่อมแซม
- วงเงินอนุมัติสูงสุดขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระ (รายได้) และราคาประเมินหลักประกัน
- อัตราดอกเบี้ย: มักมีโปรโมชัน 0% หรือต่ำกว่าตลาดในระยะสั้น 1-3 ปีแรก จากนั้นปรับเป็นอัตราปกติ (MLR หรือ MRR ที่ ธอส. กำหนด)
ข้อดี
- ดอกเบี้ยส่งเสริมการมีบ้าน: มีช่วงดอกเบี้ยพิเศษช่วยให้ผ่อนสบายขึ้นในระยะเริ่มต้น
- โครงการรัฐสนับสนุน: เช่น โครงการบ้านล้านหลัง หรือบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ฯลฯ ที่อาจมีเงื่อนไขผ่อนยาวถึง 40 ปี
- ขั้นตอนการขอสินเชื่อเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย: เจ้าหน้าที่มีความชำนาญเรื่องบ้านเป็นพิเศษ
ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- ต้องติดตามรอบโครงการ: โครงการดอกเบี้ยพิเศษจะเปิด-ปิดเป็นช่วงเวลา ต้องรีบยื่นกู้ทันตามกำหนด
- คิวแน่น: เนื่องจากเป็นธนาคารเฉพาะกิจ ได้รับความสนใจสูง ทำให้บางสาขามีคิวยื่นกู้ยาว
- หลังหมดโปรโมชัน: อัตราดอกเบี้ยอาจขึ้นสู่ระดับปกติพอสมควร ควรตรวจสอบ MRR หรือ MLR ปัจจุบัน
5.2 ธนาคารออมสิน
ภาพรวม
ธนาคารออมสินเป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินของรัฐที่มุ่งสนับสนุนคนไทยให้มีที่อยู่อาศัยเช่นกัน สินเชื่อบ้านของออมสินมักมีหลายรูปแบบ ทั้งสำหรับผู้มีรายได้ประจำ ผู้ค้าขาย หรือข้าราชการ
เงื่อนไขหลัก
- วงเงินสูงสุดอาจให้ได้ถึง 90-100% ของราคาประเมิน (กรณีบ้านใหม่หรือผู้มีประวัติดี)
- ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 30-40 ปี ขึ้นกับอายุผู้กู้
- โปรโมชันดอกเบี้ยค่อนข้างหลากหลาย เช่น ดอกเบี้ยคงที่ 1-3 ปีแรก แล้วปรับลอยตัว
ข้อดี
- โปรโมชันหลากหลาย: สำหรับผู้กู้หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มข้าราชการ กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย
- สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ: แม้ในอำเภอหรือจังหวัดเล็ก ๆ ทำให้สะดวกต่อการติดต่อ
- เงื่อนไขผ่อนยาว: บางโปรโมชันให้ผ่อนสบาย ๆ ได้นาน
ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- ดอกเบี้ยหลังโปรอาจสูง: เช่นเดียวกับธนาคารอื่น ต้องเช็กอัตราดอกเบี้ยหลังช่วงโปรอย่างละเอียด
- เอกสารอาจต้องละเอียด: โดยเฉพาะผู้กู้กลุ่มอาชีพอิสระ อาจต้องแสดงหลักฐานรายได้ค่อนข้างมาก
- กระบวนการพิจารณา: อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หากมีผู้ยื่นกู้จำนวนมาก
5.3 ธนาคารกรุงไทย
ภาพรวม
ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank) เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีภาครัฐถือหุ้นใหญ่ สินเชื่อบ้านของกรุงไทยเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง มีโครงการพิเศษสำหรับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนเอกชนทั่วไป
เงื่อนไขหลัก
- วงเงินกู้สูงสุดขึ้นอยู่กับรายได้และราคาประเมินบ้าน
- ระยะผ่อนสูงสุด 30 ปี หรือจนถึงอายุ 65 ปี (หรือ 70 ปี ในบางกรณี)
- ดอกเบี้ยโปรโมชันมีทั้งแบบคงที่ระยะสั้น และลอยตัวอ้างอิง MRR, MLR
ข้อดี
- มีโปรพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ: เช่น ข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ฯลฯ มักได้อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างดี
- สาขาจำนวนมาก: ครอบคลุมทั่วประเทศ สะดวกติดต่อ
- ผ่อนยืดหยุ่น: มีทางเลือกปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Refinance) หากผ่อนมาสักระยะหนึ่ง
ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- การพิจารณาเป็นระบบใหญ่: บางครั้งใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะอนุมัติ
- ต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายแฝง: อาจมีค่าประเมิน ค่าธรรมเนียม ค่าประกัน ฯลฯ ที่ควรคำนวณก่อนตัดสินใจ
- เหมาะกับผู้มีรายได้แน่นอน: ผู้กู้ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมออาจต้องเตรียมเอกสารแน่นมาก
5.4 ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
ภาพรวม
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนขนาดใหญ่ที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านหลากหลายและปรับเปลี่ยนโปรโมชันตลอดปี เน้นความคล่องตัวในการให้บริการและพัฒนาระบบออนไลน์
เงื่อนไขหลัก
- ให้วงเงินกู้โดยพิจารณาจากรายได้ ประวัติเครดิต และราคาประเมินบ้าน
- บางโปรโมชันอาจให้วงเงินได้ถึง 100% ของราคาประเมิน (แต่ส่วนใหญ่ 90-95%)
- ระยะผ่อนสูงสุด 30 ปี (ขึ้นอยู่กับอายุผู้กู้)
ข้อดี
- กระบวนการทันสมัย: มีช่องทางสมัครผ่านออนไลน์หรือแอป SCB EASY ช่วยให้ติดตามสถานะง่าย
- โปรโมชันพันธมิตรโครงการ: SCB มักจับมือกับดีเวลอปเปอร์หลายเจ้า ให้ส่วนลด หรือแถมค่าประเมิน
- บริการหลังการขาย: การปรับโครงสร้างหนี้ หรือรีไฟแนนซ์ มักมีโปรพิเศษเสมอ
ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- ดอกเบี้ยหลังโปรอาจแรง: บางแพ็กเกจให้ดอกเบี้ยคงที่ต่ำมากในปีแรก ๆ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงลอยตัว อัตราอาจสูง
- เอกสารค่อนข้างมาก: โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพอิสระควรเตรียมเอกสารไว้พร้อม
- ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ: เช่น ค่าจดจำนอง ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (บางโปรกำหนดให้ต้องทำ) ฯลฯ
5.5 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri)
ภาพรวม
ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีเครือข่ายต่างชาติเข้าร่วมทุน (MUFG จากญี่ปุ่น) ทำให้มีทุนและโปรแกรมสินเชื่อที่หลากหลาย สินเชื่อบ้านของกรุงศรีมักเด่นเรื่องโปรดอกเบี้ยค่อนข้างแข่งขันได้ และมีเงื่อนไขผ่อนสบาย ๆ
เงื่อนไขหลัก
- ปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้านใหม่ บ้านมือสอง รีไฟแนนซ์ ต่อเติม ฯลฯ
- วงเงินสูงสุด 90-95% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย (เลือกต่ำกว่า)
- ระยะผ่อน 30 ปี หรือตามเงื่อนไขอายุ
ข้อดี
- ดอกเบี้ยค่อนข้างแข่งขัน: มักมีโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก ๆ
- โปรแกรมรีไฟแนนซ์ดี: สำหรับผู้ต้องการย้ายจากธนาคารเดิม อาจได้เงื่อนไขดีขึ้น
- ความร่วมมือกับโครงการใหญ่: มักมีดีลกับบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำหลายแห่ง
ข้อเสีย/ข้อควรพิจารณา
- อัตราดอกเบี้ยหลังโปรอาจสูง: เช่นเดียวกับธนาคารอื่น ควรศึกษาให้ละเอียด
- การอนุมัติอาจเข้มงวด: โดยเฉพาะอาชีพอิสระหรือลูกค้าที่มีประวัติทางการเงินไม่แน่นอน
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ: อาจมีค่าใช้จ่ายในการประเมินหลักประกัน ค่าจัดการเอกสาร
6. เปรียบเทียบหลัก ๆ: เลือกธนาคารอย่างไร?
หลังจากศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของสินเชื่อบ้าน 5 ธนาคารข้างต้นแล้ว คำถามคือ “ควรเลือกกู้ที่ไหนดี?” ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
-
อาชีพและรายได้
- หากเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ อาจได้เงื่อนไขดีจากกรุงไทยหรือออมสิน
- หากเป็นผู้มีรายได้กลาง-สูงและต้องการความสะดวกบริการออนไลน์ SCB หรือกรุงศรีก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- ธอส. เหมาะมากหากคุณต้องการใช้สิทธิในโครงการรัฐ เช่น บ้านล้านหลัง หรืออยากได้โปรพิเศษสำหรับผู้มีรายได้น้อย
-
ขนาดวงเงินและราคาบ้าน
- ถ้าบ้านมีราคาไม่สูง (เช่น 1-2 ล้านบาท) ธนาคารของรัฐอาจมีแพ็กเกจช่วยเหลือที่ดอกเบี้ยต่ำในช่วงแรก
- ถ้าต้องการกู้วงเงินสูง (เช่น 5-10 ล้านบาท) อาจต้องเน้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เพื่อโอกาสอนุมัติสูง
-
โปรโมชันช่วงเวลาที่สมัคร
- ควรติดตามข่าวโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งธนาคารจะลดดอกเบี้ยในงานมหกรรมบ้าน หรือในช่วงเทศกาลพิเศษ
-
ความสะดวกในการติดต่อสาขา
- หากคุณอยู่นอกเมืองใหญ่ บางธนาคารอาจมีสาขาน้อย ควรเลือกธนาคารที่มีสาขาหรือช่องทางติดต่อใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในระยะยาว
-
ค่าใช้จ่ายแฝง/เงื่อนไขอื่น ๆ
- เช่น ค่าทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) ที่บางธนาคารอาจกำหนดให้ทำและรวมเบี้ยประกันในยอดกู้
- ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ระยะเวลาลดหย่อนค่าส่วนต่าง ฯลฯ
7. เคล็ดลับวางแผนก่อนและหลังการกู้บ้าน
7.1 ก่อนกู้
- ตรวจสอบสภาพการเงิน
- ดูว่าเรามีเงินออมนอกเหนือจากค่าดาวน์หรือไม่ ควรสำรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าตกแต่งบ้าน ค่าประกัน ค่าธรรมเนียมการโอน
- หาข้อมูลเปรียบเทียบ
- ขอใบเสนออัตราดอกเบี้ย (Offer) จากธนาคารหลายแห่ง แล้วเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ไม่ควรตัดสินใจเร็วเกินไป
- เช็กเครดิตบูโร
- เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีหนี้ค้างหรือข้อมูลผิดพลาด ควรแก้ไขล่วงหน้า
7.2 หลังผ่านการอนุมัติ
- จัดสรรงบผ่อนให้ตรงเวลา
- ทุกเดือนควรเตรียมเงินผ่อนชำระไว้ก่อนวันกำหนด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยล่าช้าและรักษาเครดิต
- พิจารณาโปะบางส่วน
- หากมีเงินก้อนหรือโบนัส ควรพิจารณาโปะเงินต้นเพื่อลดดอกเบี้ยระยะยาว
- ตรวจสอบโอกาสรีไฟแนนซ์
- เมื่อผ่อนมาระยะหนึ่ง (เช่น 3 ปี หรือ 5 ปี) และอัตราดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้น อาจมองหาการรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารอื่นเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ไม่น้อย
8. สรุปภาพรวมและคำแนะนำ
การตัดสินใจ “กู้เงินซื้อบ้านธนาคารไหนดี” ในปี 2568 ควรพิจารณาจาก:
- ความพร้อมด้านการเงิน – รายได้มั่นคงแค่ไหน? มีหนี้สินอื่นมากน้อยเพียงใด?
- เครดิตบูโร – ควรรักษาเครดิตให้ดี จ่ายตรงเวลา และไม่เป็นหนี้เสีย
- ประเภทบ้าน/คอนโด – ราคา ทำเล เป้าหมายการซื้อ (เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุน)
- เปรียบเทียบโปรโมชัน – ดอกเบี้ยช่วงโปรและหลังโปร ระยะเวลาผ่อน วงเงิน ค่าธรรมเนียม
- แผนสำรองและการจัดสรรงบ – ควรมีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉินหรือค่าซ่อมแซม
ในบทความนี้ได้แนะนำ 5 ธนาคารเด่น ได้แก่
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) – เหมาะกับผู้มีรายได้น้อย โครงการรัฐส่งเสริม ดอกเบี้ยพิเศษระยะสั้น
- ธนาคารออมสิน – มีโปรโมชันยืดหยุ่น กลุ่มข้าราชการหรือผู้มีรายได้ต่าง ๆ
- ธนาคารกรุงไทย – เหมาะกับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ มีเครือข่ายสาขามาก
- ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) – ระบบออนไลน์ทันสมัย มีโปรจับมือกับโครงการอสังหาฯ ชั้นนำ
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri) – ดอกเบี้ยแข่งขัน รีไฟแนนซ์โดดเด่น
อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ควรสำรวจและเจรจากับแต่ละธนาคารด้วยตัวเอง เพราะสถานการณ์ด้านเครดิต ประวัติการทำงาน และรายละเอียดแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน ถ้าเอกสารพร้อมและมีประวัติที่ดี ธนาคารมักยินดีให้เงื่อนไขที่ดีเช่นกัน
9. บทส่งท้าย: ซื้อบ้านอย่างมีสติและวางแผนระยะยาว
การซื้อบ้านเป็น “ภาระหนี้ก้อนใหญ่และยาวนาน” ที่สุดสำหรับหลายคน ดังนั้น การมีสติก่อนตัดสินใจจะช่วยป้องกันปัญหาหนี้สินล้นตัวและความเครียดในอนาคต เราจึงควร
- กำหนดเป้าหมายให้ชัด ว่าทำไมต้องซื้อบ้านหลังนี้ – เพื่ออยู่อาศัยยาว ๆ หรือลงทุน?
- เลือกทำเล ที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ใกล้ที่ทำงาน ใกล้รถไฟฟ้า มีโรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวก
- คำนวณค่าใช้จ่ายรวม เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าประกัน ค่าซ่อมบำรุงในอนาคต และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก่อนเซ็นสัญญา
- อย่าลืมจุดคุ้มทุน (กรณีลงทุน) หรือความสะดวกสบาย (กรณีอยู่อาศัยเอง) เพื่อไม่ให้พลาดในภายหลัง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นายหน้าอสังหาฯ ผู้จัดการธนาคาร หรือที่ปรึกษาทางการเงิน หากไม่มั่นใจ
ในปี 2568 นี้ ตลาดอสังหาฯ และตลาดการเงินมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หากเราเตรียมตัวให้พร้อม มีเครดิตที่ดี และติดตามโปรโมชันจากธนาคารหลาย ๆ แห่ง ก็ย่อมมีโอกาสเจอ “ข้อเสนอสินเชื่อบ้าน” ที่โดนใจและช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้อย่างภาคภูมิใจ