
แนวทางสำหรับผู้ที่มีเวลาว่าง หรือไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ในปี พ.ศ. 2568 พร้อมเจาะลึกโอกาสการค้าขายด้วยการใช้พื้นที่ภายในบ้านหรือผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่มีการสรุปย่อในตอนท้ายเพื่อคงเนื้อหาเชิงลึกครบถ้วน
1. อยู่บ้านเฉย ๆ ขายอะไรดี
ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบขนส่งพัฒนาไปมาก “การอยู่บ้านเฉย ๆ แต่สามารถสร้างรายได้” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป โดยเฉพาะในสังคมไทยปี พ.ศ. 2568 ที่หลายคนใช้ช่องทางออนไลน์ผสมผสานกับทักษะส่วนตัวเพื่อสร้างธุรกิจขนาดเล็กหรือ “โฮมบิสซิเนส” (Home Business) ยอดขายในช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด e-commerce ในไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยราว 10–15% ต่อปี การเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ จากที่บ้านจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ
2. แนวคิดเบื้องต้นในการเริ่ม “ทำอะไรขายดี” ที่บ้าน
1. ประเมินทักษะและความถนัด
• สกิลการทำอาหาร งานฝีมือ งานศิลปะ การออกแบบ ผลิตภัณฑ์ DIY หรือความสามารถด้านดิจิทัล เช่น ตัดต่อวิดีโอ เขียนโปรแกรม
2. ศึกษาความต้องการของตลาด
• สำรวจว่ามีสินค้าหรือบริการใดบ้างที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่ต้องการ ทั้งในชุมชนและตลาดออนไลน์
3. วางแผนต้นทุนและกำไร
• ควรคำนวณว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ (ค่าวัตถุดิบ อุปกรณ์ ค่าส่ง ฯลฯ) เพื่อให้ราคาขายและโครงสร้างต้นทุนเหมาะสม
4. เลือกช่องทางการขาย
• อาจเริ่มจากหน้าเพจ Facebook, Instagram, TikTok, YouTube หรือ E-marketplace เช่น Shopee, Lazada และรวมถึงการใช้ Line Official Account
3. ตัวอย่างสินค้าหรือบริการ “ขายดี” เมื่ออยู่บ้าน
3.1 อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)
1. อาหารโฮมเมด/อาหารคลีน/อาหารสุขภาพ
• ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น อาหารคลีนหรือเมนูโฮมเมดที่มีการควบคุมวัตถุดิบเป็นที่ต้องการ
• ตัวอย่าง: “ข้าวกล่องคลีน”, “น้ำเต้าหู้โฮมเมด”, “เมนูคีโต”
• ช่องทางการขาย: Facebook Marketplace, Line Official Account, กลุ่ม Facebook หรือกลุ่มคอนโด/หมู่บ้าน
2. ขนมอบและเบเกอรี
• อาทิ เค้ก คุกกี้ มัฟฟิน ขนมปังสูตรสุขภาพ เน้นจุดขายความสดใหม่และรสชาติแตกต่าง
• ควรวางแผนเรื่องบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมในการขนส่งและระยะเวลาการเก็บรักษา
3.2 สินค้าแฟชั่นและงานฝีมือ (Fashion & Crafts)
1. เสื้อผ้ามือสอง (Thrift Shop)
• การขายเสื้อผ้ามือสองผ่านทางออนไลน์เป็นที่นิยม เพราะผู้บริโภคมองหาสินค้าราคาประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
• ใช้ช่องทางเช่น Facebook Live หรือ TikTok Live เพื่อสร้างยอดขายรวดเร็ว
2. งาน DIY / งานคราฟต์
• เช่น สบู่แฮนด์เมด เทียนหอม เรซิ่น ของตกแต่งบ้าน ของแฮนด์เมด ฯลฯ
• สินค้าเหล่านี้ขายได้ดีในกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบความเป็นเอกลักษณ์และคุณภาพฝีมือ
3.3 บริการด้านดิจิทัล (Digital Services)
1. รับตัดต่อวิดีโอ / รับทำกราฟิก
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะด้านโปรแกรมตัดต่อวิดีโอหรือออกแบบภาพ
• สามารถประกาศรับงานในแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Fastwork, Upwork, FreelanceBay
2. ดูแลโซเชียลมีเดีย / แอดมินเพจ
• หลายธุรกิจ SME ต้องการผู้ดูแลเพจ Facebook, Line OA, Instagram
• หากมีทักษะการตลาดออนไลน์และตอบแชทได้รวดเร็ว จะเป็นที่ต้องการมาก
3.4 สินค้าแม่และเด็ก (Mother & Baby Product)
1. ของเล่นเพื่อพัฒนาทักษะเด็ก
• เช่น ของเล่นไม้เสริมพัฒนาการ หนังสือภาพ สินค้า DIY สำหรับเด็ก
• สามารถสร้างความแตกต่างด้วยการคัดสรรสินค้า “ปลอดภัย” หรือ “Eco-friendly”
2. ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก
• เช่น ผ้าอ้อมผ้าทำมือ เบาะเด็ก สินค้าสไตล์มินิมอล
• เน้นการเลือกวัตถุดิบคุณภาพ เช่น ผ้าฝ้ายออร์แกนิก
3.5 สินค้าความงามและสุขภาพ (Beauty & Wellness)
1. ครีมบำรุงผิว/แชมพูสมุนไพร/สบู่สมุนไพร
• ต้องมี อย. หรือหลักฐานการผลิตที่ได้มาตรฐาน (GMP) เพื่อความน่าเชื่อถือ
• เน้นจุดขาย “ส่วนผสมธรรมชาติ” หรือ “ปลอดสารเคมี”
2. อาหารเสริมและวิตามิน
• หากเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง สามารถขายออนไลน์ได้ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบแหล่งที่มาและการรับรองคุณภาพอย่างเคร่งครัด
4. ช่องทางการขายและการตลาด
1. โซเชียลมีเดีย (Social Media)
• Facebook Page, Facebook Group: สามารถโพสต์ขาย แชร์รีวิว ทำ Facebook Live
• Instagram: เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีรูปแบบเน้นภาพสวย ข้อความกระชับ
• TikTok: เน้นการทำคลิปสั้น รีวิวสินค้า หรือ Live ขายแบบทันที
2. แพลตฟอร์ม E-marketplace
• Shopee, Lazada, JD Central – เหมาะกับการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่เข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
• มีระบบชำระเงินและส่งสินค้าในตัว
3. Line Official Account (Line OA)
• เหมาะกับการสื่อสารด้านโปรโมชั่น ตอบแชทลูกค้า หรือสะสมแต้ม
• ใช้งานง่าย สามารถส่ง Broadcast ให้สมาชิกได้
4. การตลาดปากต่อปาก (Word of Mouth)
• หากสินค้าและบริการมีคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ลูกค้ามักแนะนำต่อในกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว
5. สถิติและแนวโน้มในตลาดออนไลน์ไทย ปี 2568
• จากรายงานของ ETDA (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) ระบุว่า มูลค่า e-commerce ไทยในปี 2567 มีมูลค่ากว่า 4.0 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 อีกประมาณ 8–10%
• Google Temasek คาดการณ์ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีผู้ใช้บริการออนไลน์มากกว่า 400 ล้านคน โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีอัตราใช้งานสูงเป็นอันดับต้น ๆ
┌───────────────────────────────────────────────────────────┐
│ สถิติ e-commerce ไทย (ประมาณการ) │
├─────────────────┬─────────────────────────────────────────┤
│ ปี 2567 │ ~ 4.0 ล้านล้านบาท (ตลาดออนไลน์รวม) │
│ ปี 2568 (คาด) │ ~ 4.3 – 4.4 ล้านล้านบาท │
└─────────────────┴─────────────────────────────────────────┘
หมายเหตุ: ตัวเลขอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพเศรษฐกิจ ควรติดตามข้อมูลจาก ETDA หรือรายงานวิจัยของหน่วยงานอื่น ๆ
6. ตัวอย่างกรณีศึกษา
6.1 “คุณเอ” – เปิดร้านขนมปังโฮมเมดผ่าน Facebook
• สถานการณ์: คุณเอมีฝีมือทำขนมปังแต่ไม่มีหน้าร้าน
• แนวทาง:
1. สร้างเพจ Facebook: โพสต์รูปขนมปังที่อบสดใหม่ทุกเช้า
2. ใช้ Line OA ติดต่อกับลูกค้าประจำในชุมชน
3. จัดโปรโมชั่น “ซื้อ 4 แถม 1” สำหรับลูกค้าใหม่ใน TikTok
• ผลลัพธ์: ยอดขายเฉลี่ยวันละ 30–50 ชิ้น ส่งทั้งในละแวกบ้านและผ่านขนส่งด่วน
6.2 “คุณบี” – รับตัดต่อวิดีโอ TikTok / YouTube
• สถานการณ์: คุณบีเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่มีทักษะตัดต่อวิดีโอจากงานเก่า
• แนวทาง:
1. ลงโฆษณาในกลุ่ม Facebook “Freelance ไทย”
2. อัปตัวอย่างผลงานบน YouTube สาธิตเทคนิคตัดต่อ
3. ตั้งอัตราค่าบริการเริ่มต้น 500 บาทต่อคลิป (ความยาวไม่เกิน 3 นาที)
• ผลลัพธ์: ได้ลูกค้าวันละ 1–2 เคส รายได้เสริม 10,000–15,000 บาทต่อเดือน
7. ช่องทางติดต่อและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
1. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์
• เว็บไซต์: https://www.dbd.go.th
• ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และตรวจสอบบริษัท
2. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
• เว็บไซต์: https://www.depa.or.th
• มีโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และผู้ค้ารายย่อยในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
3. ETDA (Electronic Transactions Development Agency)
• เว็บไซต์: https://www.etda.or.th
• รายงานสถิติ e-commerce ไทย แนวโน้มตลาดออนไลน์
8. แนวปฏิบัติและข้อควรระวัง
1. ศึกษากฎระเบียบและการขออนุญาต
• หากขายอาหาร ต้องมีมาตรฐานความสะอาด (อ.ย. หรือ GMP เบื้องต้นหากเป็นการผลิต)
• หากขายของประเภทสินค้านำเข้า ต้องผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง
2. มีความซื่อสัตย์และชัดเจนในการขาย
• ระบุส่วนผสม ราคา ค่าขนส่ง วิธีใช้ หรือวันหมดอายุให้ครบถ้วน
3. บริการหลังการขาย
• ตอบข้อความอย่างรวดเร็ว ประเมินความพึงพอใจลูกค้า และยินดีแก้ไขปัญหา
4. ป้องกันการทุจริตออนไลน์
• ควรเลือกใช้บริการชำระเงินที่มีการป้องกันธุรกรรม เช่น เก็บเงินปลายทาง หรือใช้แพลตฟอร์มที่มีนโยบายคุ้มครองผู้ขายและผู้ซื้อ
9. บทส่งท้าย
การ “อยู่บ้านเฉย ๆ ทำอะไรขายดี” ในบริบทปี พ.ศ. 2568 ไม่ได้จำกัดเพียงอาหารหรือเครื่องประดับเหมือนในอดีต แต่ยังครอบคลุมถึงงานบริการดิจิทัล บริการออกแบบ สินค้าออนไลน์อีกหลากหลาย การพัฒนาทักษะส่วนตัวผสานกับการตลาดออนไลน์และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้ประกอบการมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมจากที่บ้านสามารถสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนได้
ในยุคที่การแข่งขันสูง การมองหาจุดขายเฉพาะตัวและการใช้เครื่องมือทางออนไลน์อย่างมืออาชีพ เช่น การทำ Content Marketing รีวิวจริงจากลูกค้า การ Live เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หรือการสร้างแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโต ขณะที่การบริหารสินค้า การจัดส่ง การรับชำระเงิน ก็ต้องให้ความสำคัญควบคู่กันไป เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาว
คำแนะนำ:
• ผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจที่บ้าน ควรปรึกษาหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาที่มีโครงการอบรม/สัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์
• หมั่นติดตามข่าวสารและปรับตัวตามเทรนด์การตลาดดิจิทัล เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการทำตลาดใหม่ ๆ